“ปลดล็อก” รถคันแรก โอกาสทอง“หุ้นยานยนต์”

“ปลดล็อก” รถคันแรก โอกาสทอง“หุ้นยานยนต์”

หุ้นกลุ่มยานยนต์ เด้งรับสัญญาณฟื้นตัวอุตสาหกรรม หลังรถยนต์คันแรกได้เวลาเปลี่ยนมือ “เย็บ ซู ชวน”นายใหญ่อาปิโก ไฮเทค ยืนยันปีนี้ตลาดโต5%

ความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า และกำลังซื้อภายในประเทศที่ปรับตัวลดลง หลังราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ และประเทศไทยเผชิญปัญหาภัยแล้ง รวมถึงการปล่อยสินเชื่อ รถยนต์ที่มีความเข้มงวดมากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศ และยอดส่งออกหดตัวในช่วงปี 2557-2558

สะท้อนผ่านฐานะการเงินและมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของเหล่าผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่ขยับตัวลดลงต่อเนื่อง รวมถึงการชะลอตัวเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ แม้จะมีกำลังซื้อเร่งเข้ามาในช่วงปลายปี 2558 ก่อนการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ก็ตาม

โดยเฉพาะบมจ.อาปิโก ไฮเทค หรือ AH ,บมจ.พี.ซี.เอส.แมชีน กรุ๊ปโฮลดิ้ง หรือ PCSGH ,บมจ.สมบูรณ์แอดวานซ์ หรือ SAT บมจ.ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า หรือ STANLY บมจ.ที.กรุงไทยอุตสาหกรรม หรือ TKT บมจ.ไทยรุ่งยูเนียนคาร์ หรือ TRU เป็นต้น

สอดคล้องกับตัวเลขการส่งออกรถยนต์ และยอดขายรถยนต์ภายในประเทศประจำปี 2559 ที่ปรับตัวลดลง 1.4% จากจํานวนรถยนต์ส่งออก 1.2 ล้านคัน ในปี 2558 และลดลง 3.9% จากจำนวนยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ 7.99 แสนคัน ในปี 2558

ทว่า เมื่อภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวในปี 2559 ทำให้จำนวนรถยนต์ที่ผลิตในประเทศปรับตัวขึ้น 1.6% เมื่อเทียบกับจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในปี 2558 จำนวน 1.91 ล้านคน แบ่งการผลิตส่งออก 60% และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 40%

จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนบางรายมีฐานะการเงินดีขึ้น เช่น บมจ.อาปิโก ไฮเทค และบมจ.ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า หรือ STANLY เป็นต้น โดยสิ้นปี 2559 มีกำไรสุทธิ 543 ล้านบาท และ 1,303 ล้านบาท (STANLY งบปีสิ้นสุด 31 มี.ค.) ตามลำดับ เทียบกับปี 2558 ที่มีกำไรสุทธิ 313 ล้านบาท และ 1,157 ล้านบาท ตามลำดับ

ทั้งนี้หากพิจารณา “ปัจจัยบวก” ตลอดปี 2560 นักวิเคราะห์จากหลากหลายสำนักแสดงความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า อุตสาหกรรมยานยนต์อาจเริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น หลังทิศทางราคาพืชผลทางการเกษตรทยอยปรับตัวสูงขึ้น เช่น ราคายาง ปาล์ม และอ้อย เป็นต้น

ขณะเดียวกัน ยังได้ผลดีจากการที่ภาครัฐอนุมัติและเดินหน้าโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ (เมกะโปรเจค) มูลค่าหลายแสนล้านบาทในปีนี้ รวมถึงการครบกำหนดการถือครองรถยนต์คันแรก ส่งผลให้ค่ายรถยนต์ต่างๆเริ่มเดินหน้าเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่มากขึ้น ซึ่งปัจจัยหลากหลายด้านเหล่านี้จะหนุนกำลังซื้อในประเทศให้กลับมา

สอดคล้องกับมุมมองของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. ที่ระบุว่า ปีนี้อุตสาหกรรมยานยนต์อาจขยายตัว 3% หรือมีปริมาณการผลิตสูงกว่า 2 ล้านคันต่อปี ซึ่งจะได้รับอนิสงส์จากยอดขายรถยนต์ในประเทศที่น่าจะยืนอยู่ที่ระดับ 800,000 คัน หลังภาวะภัยแล้งเริ่มคลายตัว และราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้น แม้ยอดยอดส่งออกจะยังคง“ทรงตัว”ที่ระดับ 1.2 ล้านคัน เป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกยังชะลอตัว

เย็บ ซู ชวน ประธานกรมการและประธานกรรมการบริหาร บมจ.อาปิโก ไฮเทค หรือ AH  หนึ่งในผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่ แสดงความเห็นว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ได้ผ่านพ้น จุดต่ำสุด” ไปแล้ว หลังตลาดชะลอตัวมานาน 3-4 ปี 

โดยส่วนตัวมองว่า ปีนี้ตลาดรถยนต์อาจขยายตัวเฉลี่ย 5% หรือคิดเป็นยอดผลิตรถยนต์ที่ 2 ล้านคันต่อปี

ภายใน 5 ปีข้างหน้า (2560-2564) ยอดผลิตรถยนต์ต้องขึ้นมาแตะ 3 ล้านคันต่อปี เขามีความเชื่อเช่นนั้น

เมื่อถามถึงเป้าหมายรายได้รวมในปี 2560 นายใหญ่อาปิโก ตอบว่า คงเติบโตไปในทิศทางเดียวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ขยายตัว 5% หลังเชื่อว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจะเป็นแรงผลักดันกำลังซื้อภายในประเทศ และยังจะทำให้ยอดผลิตรถยนต์ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง

ส่วนในแง่ของกำไรสุทธิคงจะดีกว่าปีก่อนที่ทำได้ในระดับ 543 ล้านบาท เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ เน้นลดต้นทุน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดเป็นหลัก เช่น ปรับเปลี่ยนนวัตกรรม เพื่อลดต้นทุนด้านบุคคลากร

ตั้งแต่โรงงานเจอน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ฐานะการเงินก็ติดลบทันที ยิ่งอุตสาหกรรมยานยนต์ไม่เติบโตผลประกอบการยิ่งแย่ แต่เราใช้จังหวะนี้ในการลดต้นทุนและค่าใช้จ่าย พูดง่ายๆ กินให้น้อยลง กำจัดไขมันไม่ดีออกไป ตอนนี้ไขมันส่วนเกินถูกดูดออกหมดแล้ว

ประธานกรรมการบริหารอาปิโก เล่าว่า ในช่วง 3-4 ปีก่อน อุตสาหกรรมรถยนต์ในไทยแทบไม่เติบโต หรือขยายตัวในระดับไม่สูงเหมือนในอดีตที่เคยเติบโต ก้าวกระโดด ส่วนตัวมองว่า อนาคตอุตสาหกรรมยานยนต์จากนี้คงต้องพึ่งพาตลาดส่งออกมากขึ้นต่อเนื่อง

เนื่องจากตลาดในประเทศ“เล็กเกินไป”เมื่อเทียบกับตลาดอื่น เช่น จีน สหรัฐอเมริกา ยุโรป เป็นต้น ฉะนั้นเป็นไปได้ยากที่ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยจะขยายตัวก้าวกระโดดเหมือนที่ผ่านมา 

เมื่อประเทศไทยมีอาหารกินน้อย เราต้องออกไปหาอาหารแหล่งอื่นหรือบ่อใหม่ๆที่มีปลาตัวใหญ่กว่า หากไม่มีอะไรผิดพลาดปีนี้คงได้เห็น AH เจาะหนึ่งประเทศใหม่

โดยยอมรับว่า ตอนนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาช่องทางกระจายสินค้าไปในตลาดต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา หรือยุโรป หลังตลาดรถยนต์ในประเทศดังกล่าวเริ่มฟื้นตัว ประกอบกับภาพรวมของตลาดไม่หวือหวาเหมือนไทยที่เวลาขึ้นจะขึ้นสูงสุด เวลาตกก็ลดลงอย่างรวดเร็ว คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้

นอกจากนี้ยัง อยู่ระหว่างศึกษาตลาดประเทศมาเลเซีย หลังพบว่ายอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หากเทียบยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยกับมาเลเซียจะเห็นว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยอยู่ที่ 800,000 คันต่อปี ขณะที่มาเลเซียอยู่ที่ 600,000 คันต่อปี ฉะนั้น ยังมีช่องทางในการทำตลาดอีกมาก

เรามองหาโอกาสในการขยายธุรกิจไปในต่างประเทศมาหลายปีแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาต้องตัดสินใจแล้ว

ณัฐวัฒน์ อัสดรมิ่งมิตร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.พี.ซี.เอส.แมชีน กรุ๊ป โฮลดิ้ง หรือ PCSGH ยอมรับว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์จะฟื้นตัวจากก่อนที่ขยายตัวเพียง 1.6% แน่นอน หลังโครงการรถคันแรกครบกำหนดถือครอง 5 ปีแล้ว ฉะนั้นเจ้าของรถบางส่วนอาจต้องการเปลี่ยนรถคันใหม่ (Replacement)

ฉะนั้นเป้าหมายการทำธุรกิจในปี 2560 คงเติบโตกว่าปีก่อน เรียกว่า ฟื้นตัวตามทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ ประกอบกับ บริษัทกำลังจะรุกตลาดใหม่ๆ เพิ่มเติม หลังตลาดรถกระบะเริ่มชะลอตัว เช่น ตลาดชิ้นส่วนบิ๊กไบค์ ,ชิ้นส่วนรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ,รถบรรทุก ,ชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า และสินค้าอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ เป็นต้น

อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ชะลอตัว ทำให้เราผุดนโยบายกระจายความเสี่ยงออกไปในธุรกิจใหม่ที่ไม่ใช่กลุ่มยานยนต์ เช่น จักรเย็บผ้า ,ชิ้นส่วนแอร์ และรถมอเตอร์ไซด์บิ๊กไบค์ เป็นต้น” 

ณัฐขจร ญาณภิรัต รองกรรมการผู้อำนวยการสายการเงินบัญชี และเทคโนโลยีสารสนเทศ บมจ.สมบูรณ์แอดวานซ์ หรือ SAT บอกว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมปี 2560 เติบโตระดับ 3-5% ถือเป็นการขยายตัวตามอุตสาหกรรมยานยนต์ที่อาจมียอดการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยประมาณ 2 ล้านคัน

ขณะเดียวกัน บริษัทยังได้รับผลดีจากธุรกิจผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรกลทางการเกษตร หลังเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 ปี 2559 จนถึงไตรมาส 1 ปี 2560 มองว่า กำลังซื้อภาคการเกษตรจะเริ่มกลับมา เพราะเป็นช่วงฤดูเกี่ยวข้าวนาปี

เบื้องต้นคาดว่าปี 2561 จะมียอดผลิตเครื่องจักรกลทางการเกษตรเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 66,000 คัน จากปีนี้ที่อยู่ 60,000 คัน ฉะนั้นสัดส่วนรายได้จากธุรกิจผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรกลทางการเกษตรอาจขยับขึ้นจาก 17% ในปีนี้ เป็น 19% ในปี 2561

"ปีหน้าเราน่าจะโตได้ดีกว่าปีนี้ ตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลทางการเกษตร

“ปรีชา เตชะไกรศรี” กรรมการผู้จัดการบมจ.ที.กรุงไทยอุตสาหกรรม หรือTKTผู้ผลิตชิ้นส่วนพลาสติกและธุรกิจเกี่ยวกับแม่พิมพ์เพื่อการผลิตชิ้นส่วนพลาสติก เปิดเผยว่า ปีนี้แนวโน้มยอดขายรถยนต์จะกลับมาเติบโตราว 3-5% หรือมียอดผลิตรถยนต์ในประเทศเพิ่มเป็น 2 ล้านคัน โดยเฉพาะในช่วงงานมหกรรมยานยนต์ประจำปีนี้ หลังจากรถยนต์คันแรกได้หมดสัญญาห้ามซื้อขายแล้ว ผู้บริโภคจะสามารถขายรถแล้วมาซื้อรถยนต์รุ่นใหม่ได้

โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้โต 5-10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,110 ล้านบาท และคาดว่าบริษัทจะพลิกเป็นกำไร จากขาดทุนสุทธิ 67.44 ล้านบาท โดยเติบโตมาจากการรับรู้รายได้จากงานในมือที่มีอยู่ 1,050 ล้านบาทภายในปีนี้ทั้งหมด โดยจะเป็นการเติบโตทั้งจากการออกรถรุ่นใหม่ และคำสั่งซื้อในส่วนของรุ่นเดิม

เนื่องจากประเมินแนวโน้มยอดขายรถยนต์ในปีนี้จะเริ่มฟื้นตัวกลับมาเติบโตอีกครั้ง และบริษัทคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้จะปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 20% ในช่วงครึ่งปีหลัง จากปีก่อนลดลงไปอยู่ที่ 6.46% ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ผลงานปีนี้จะไม่ขาดทุน เนื่องจากจะไม่มีการสูญเสียจากโรงงานพ่นสีแล้ว และจะมาจากการปรับปรุงกระบวนการผลิต ลดของเสียจากการผลิต และควบคุมค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงาน”

โดยปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนปีนี้ 30-40 ล้านบาท โดยจะใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตของเครื่องจักรเดิม โดยปัจจุบันกำลังการผลิตสูงสุดของบริษัทที่ 80% จะสามารถรองรับยอดขายได้ราว 2.2 พันล้านบาท และใช้ปัจจุบันใช้เพียง 50-60% เท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องมีการลงทุนขนาดใหญ่เพิ่มเติมในเร็วๆ นี้

“เอ็มดีTKT” ทิ้งท้ายว่า“ปีนี้เป็นปีที่อุตสาหกรรมยานยนต์กลับมาเติบโตหลังจากโครงการรถคันแรกครบอายุ ซึ่งเราจะค่อยๆขยายไปให้เท่ากับช่วงก่อนหน้าที่เราเคยมียอดขายถึง1.9พันล้านบาท และเพิ่มไปถึง2.2พันล้านบาทในอนาคต หรือใช้กำลังการผลิตเป็น80%จากปัจจุบันใช้กำลังผลิตอยู่ที่ 50-60%”

"ปรีชา เตชะไกรศรี" กรรมการผู้จัดการ บมจ.ที.กรุงไทยอุตสาหกรรม หรือ TKT ผู้ผลิตชิ้นส่วนพลาสติกและธุรกิจเกี่ยวกับแม่พิมพ์เพื่อการผลิตชิ้นส่วนพลาสติก เปิดเผยว่า ปีนี้แนวโน้มยอดขายรถยนต์จะกลับมาเติบโตราว 3-5% หรือมียอดผลิตรถยนต์ในประเทศเพิ่มเป็น 2 ล้านคัน โดยเฉพาะในช่วงงานมหกรรมยานยนต์ประจำปีนี้ หลังจากรถยนต์คันแรกได้หมดสัญญาห้ามซื้อขายแล้ว ผู้บริโภคจะสามารถขายรถแล้วมาซื้อรถยนต์รุ่นใหม่ได้

โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้โต 5-10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,110 ล้านบาท และคาดว่าบริษัทจะพลิกเป็นกำไร จากขาดทุนสุทธิ 67.44 ล้านบาท โดยเติบโตมาจากการรับรู้รายได้จากงานในมือที่มีอยู่ 1,050 ล้านบาทภายในปีนี้ทั้งหมด โดยจะเป็นการเติบโตทั้งจากการออกรถรุ่นใหม่ และคำสั่งซื้อในส่วนของรุ่นเดิม

เนื่องจากประเมินแนวโน้มยอดขายรถยนต์ในปีนี้จะเริ่มฟื้นตัวกลับมาเติบโตอีกครั้ง และบริษัทคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้จะปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 20% ในช่วงครึ่งปีหลัง จากปีก่อนลดลงไปอยู่ที่ 6.46% ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

"ผลงานปีนี้จะไม่ขาดทุน เนื่องจากจะไม่มีการสูญเสียจากโรงงานพ่นสีแล้ว และจะมาจากการปรับปรุงกระบวนการผลิต ลดของเสียจากการผลิต และควบคุมค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงาน"

โดยปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนปีนี้ 30-40 ล้านบาท โดยจะใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตของเครื่องจักรเดิม โดยปัจจุบันกำลังการผลิตสูงสุดของบริษัทที่ 80% จะสามารถรองรับยอดขายได้ราว 2.2 พันล้านบาท และใช้ปัจจุบันใช้เพียง 50-60% เท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องมีการลงทุนขนาดใหญ่เพิ่มเติมในเร็วๆ นี้

"เอ็มดีTKT" ทิ้งท้ายว่า "ปีนี้เป็นปีที่อุตสาหกรรมยานยนต์กลับมาเติบโตหลังจากโครงการรถคันแรกครบอายุ ซึ่งเราจะค่อยๆขยายไปให้เท่ากับช่วงก่อนหน้าที่เราเคยมียอดขายถึง 1.9 พันล้านบาท และเพิ่มไปถึง 2.2 พันล้านบาทในอนาคต หรือใช้กำลังการผลิตเป็น 80% จากปัจจุบันใช้กำลังผลิตอยู่ที่ 50-60%"

----------------------

ค่ายรถพาเหรดเปิดตัวรุ่นใหม่

เมื่อทิศทางตลาดรถยนต์ในประเทศไทยกำลังฟื้นตัว เหล่าค่ายรถยนต์ต่างพากันเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ รวมถึงปรับโฉมรถยนต์กันอย่างคึกคัก ไล่มาตั้งแต่“ค่ายToyota”เมื่อปลายปี 2559 ส่ง Corolla Altis รุ่นปรับโฉมใหม่ พร้อมระบบความปลอดภัยในทุกรุ่นสู่ตลาด

นอกจากนั้น ยังส่ง Toyota Yaris Sportivo สีสันใหม่ออกมาเรียกกระแสความสนใจ หากไม่มีอะไรผิดพลาดภายในปี 2560 อาจได้พบกับ Vios และ Yaris รุ่นปรับโฉมหน้าใหม่ รวมถึงรถอเนกประสงค์ Toyota C-HR หลังเปิดตัวไปแล้วในประเทศญี่ปุ่น

ขณะเดียวกัน เมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมา “ค่ายHonda” ยังได้เปิดตัว Honda City ใหม่ ด้วยการเพิ่มล้อลายใหม่ คาดว่าภายในปีนี้จะเปิดตัวโฉมใหม่ Honda Jazz และรถซีดานสปอร์ตอย่าง Honda Civic Hatchback เป็นต้น และล่าสุดยังเปิด“Honda Civic  Hatchback” ขยายฐานตลาด ซี-เซกเมนต์ เจาะกลุ่มรถสปอร์ต เสริมตลาดรถยนต์ซีดาน 

ส่วน“ค่ายNissan”ที่ผ่านมาได้ออกมายืนยันแล้วว่า จะนำ Nissan Note มาเปิดตัวพร้อมทำตลาดในประเทศไทย หลังจากที่ตลาดโลกและญี่ปุ่นได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้ว ส่วนรุ่นซีดานหรู Nissan Teana อาจได้พบกับเวอร์ชั่น Nismo  ในเร็วๆนี้

--------------------

ราคาสินค้าเกษตรฟื้นแรงหนุนยอดขายรถ

หทัยชนก มูลวงศ์ นักวิเคราะห์การลงทุนด้านหลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป ระบุว่า แนวโน้มภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศเริ่มฟื้นตัว คาดว่ายอดผลิตรถยนต์ในปีนี้จะอยู่ที่ 1.9-2 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 1-3% จากปีก่อน โดยมีแรงหนุนจากทิศทางราคาพืชผลทางการเกษตรที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ภาครัฐมีการอนุมัติและเดินหน้าโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ รวมทั้งโครงการรถคันแรกที่ครบกำหนดการถือครอง 5 ปี คาดว่าจะทำให้ผู้บริโภคกลับมาจับจ่ายใช้สอยและต้องการรถยนต์รุ่นใหม่ๆ สูงขึ้น

ด้าน “สุรชัย ประมวลเจริญกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่า ยอดผลิตรถยนต์ในประเทศไทยในปี 2560 มีโอกาสฟื้นตัวประมาณ 4-5% ฉะนั้นอาจสนับสนุนให้ผลการดำเนินงาน “กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนเริ่มฟื้นตัวในปีนี้

หุ้น Top Pick คือ หุ้น AH และหุ้น SAT หลังยอดส่งออกรถกระบะมีโอกาสปรับตัวดีขึ้น จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่ง SAT และ AH มีการผลิตชิ้นส่วนรถกระบะค่อนข้างสูง ฉะนั้นย่อมได้รับอานิสงส์

บริษัทหลัทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป ประเมินว่า อุตสาหกรรมยานยนต์มีโอกาสกลับไปแตะระดับ 2 ล้านคันได้อีกครั้งในปีนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการปลดล๊อคของโครงการรถคันแรกที่ครบกำหนด 5 ปี

ส่วนอุตสาหกรรมรถแทรกเตอร์ การผลิตจะกลับไปใกล้เคียงปี 2558 ที่ระดับ 66,000 คัน หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่อยู่ระดับ 62,000 คัน เพราะปัญหาภัยแล้งไม่น่าจะรุนแรงเท่าในช่วงครึ่งปีแรกของปี2559

ฉะนั้นแนะนำ "ซื้อ" หุ้น AH คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้จะเติบโตจากหลากหลายปัจจัย ได้แก่ การประหยัดต่อขนาด การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การลดต้นทุน และการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต เป็นต้น ส่งผลให้แนวโน้มของอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 6.3% จากปีก่อนที่ 4.9%

หุ้น AH น่าลงทุนมากที่สุดในกลุ่มผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ หลังบริษัทมีกลยุทธ์เข้มข้นทั้งรุกและรับ ซึ่งจะช่วยรักษาฐานลูกค้าเดิมและเพิ่มโอกาสแย่งส่วนแบ่งตลาดในอนาคต หนุนให้ผลการดำเนินงานเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาวระหว่างปี 2560-2561

โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะโตเฉลี่ยปีละ 26.3% เพราะจะได้แรงหนุนจากนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอที่ส่งเสริมการลงทุนในการผลิต ECO-CAR Phase 2 คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 138,000 ล้านบาท หรือ 1.58 ล้านคัน ซึ่งจะช่วยหนุนให้มียอดผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในระยะยาว

“SAT อาจมีกำไรสุทธิ 677 ล้านบาท หรือเติบโต 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน และอาจมีรายได้เติบโต 5% เมื่อเทียบกับปี 2559 โดยกำไรสุทธิที่โตมากกว่ารายได้เกิดจากผลดีของการควบคุมต้นทุนที่ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น