‘เน็ตแอพ’ชี้เม็ดเงินลงทุนไอทีในไทยปีนี้เติบโตน้อย

‘เน็ตแอพ’ชี้เม็ดเงินลงทุนไอทีในไทยปีนี้เติบโตน้อย

หวังไทยแลนด์ 4.0 เป็นรูปธรรม -เร่งเครื่องลุยตลาด “คลาวด์” รับข้อมูลเติบโตมหาศาล

‘เน็ตแอพ’ ชี้ภาพรวมเม็ดเงินลงทุนไอทีในไทยปีนี้เติบโตน้อย เหตุรัฐไม่สามารถกระตุ้นการใช้จ่าย เบิกงบประมาณในหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะภาครัฐได้มากเท่าที่ควร หวังนโยบายไทยแลนด์ 4.0 มีผลงานออกเป็นรูปธรรม เดินหน้าลุยตลาดไฮบริดคลาวด์ต่อหลังไทยยังมีโอกาสเติบโตสูง ระบุ “ไทย” ยังเป็นเบอร์ 1 รายได้เติบโตสูงสุดในอาเซียน

นายวีระ อารีรัตนศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็ตแอพ ประจำประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย และภูมิภาค อินโดจีน กล่าวว่า สถานการณ์โดยรวมของการลงทุนไอทีในไทยปีนี้ ยังเติบโตน้อย แม้ภาครัฐจะมีนโยบายไทยแลนด์ 4.0 แต่ยังไม่เห็นการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม ขณะที่ รัฐยังไม่สามารถกระตุ้นการจับจ่าย โดยเฉพาะการเบิกงบประมาณที่ยังไม่มากพอ

“นโยบายไทยแลนด์ 4.0 เป็นนโยบายที่ดี หากรัฐจะดำเนินการให้มีผลลัพธ์เป็นรูปธรรม หากหน่วยงานรัฐเข้าสู่ระบบดิจิทัลมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นหน่วยงานรัฐอย่าง อีจีเอ (EGA) ที่ได้พัฒนาแอพของภาครัฐออกมา ถือเป็นสัญญาณที่ดี”

กลยุทธ์เน็ตแอพปีนี้ มุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริิการที่ช่วยสนับสนุนให้ผู้ใช้งานในไทยและเอเชียแปซิฟิกเติบโตไปพร้อมการเปลี่ยนแปลงสู่โมเดลทางเศรษฐกิจรับไทยแลนด์ 4.0

โดยปีนี้โครงสร้างพื้นฐานและการใช้งานบนคลาวด์ กลายมาเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับองค์กรทุกขนาด โดยเฉพาะการตอบรับไฮบริดคลาวด์ หรือคลาวด์แบบผสมผสานที่จะเพิ่มสูงขึ้น และเพื่อตอบสนองความต้องการตลาดปัจจุบัน เน็ตแอพได้นำเสนอ ดาต้า แฟบริค (Data Fabric) แพลตฟอร์มการบริหารจัดการข้อมูลที่กระจัดกระจายบนคลาวด์ต่างๆ ได้อย่างราบรื่น โดยร่วมมือกับผู้ให้บริการคลาวด์จากทั่วโลก

ในไทยเน็ตแอพร่วมกับบริษัทอินเทอร์เน็ตประเทศไทย หรือไอเน็ต ผู้ให้บริการคลาวด์ ช่วยเพิ่มศักยภาพการรองรับความต้องการของหน่วยงานต่างๆ และช่วยลดค่าใช้จ่ายในองค์กรให้ลดน้อยลง

นายวีระ กล่าวว่า ความพร้อมของการใช้บริการบนคลาวด์ ช่วยให้หน่วยงานต่างๆ เข้าถึงระบบพื้นฐานทางเทคโนโลยีสารสนเทศได้ง่าย ขณะที่ปริมาณการใช้ข้อมูลในไทยเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากการทำธุรกรรมออนไลน์บนโทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ตแบงกิ้ง การใช้โซเชียล เน็ตเวิร์ค ชี้ว่าไทยได้ใช้งานระบบการบริหารจัดการข้อมูลเพิ่มขึ้นมาก

อย่างไรก็ตาม นายวีระ กล่าวว่า อุปสรรคสำคัญ ที่ทำให้คลาวด์ในไทยยังไม่แพร่หลายครอบคลุม มาจากการยึดติดการใช้งาน การซื้อในรูปแบบเดิมๆ ขององค์กร ระบบความปลอดภัย และกฏหมายภาครัฐที่ยังไม่ครอบคลุมเรื่องคลาวด์มากพอ

"ปีนี้ ตลาดหลักๆ ที่เรามองว่าจะเติบโตจากการใช้คลาวด์ คือ กลุ่มธนาคาร สถาบันการเงิน เพราะการมาของฟินเทค รวมถึงกลุ่มแมนูแฟคเจอริ่ง พลังงาน และเอสเอ็มอี หรือธุรกิจขนาดเล็ก ขณะที่ยังมุ่งไปที่ภาครัฐ โดยเพิ่มทีมงานในส่วนนี้เพิ่ม คาดว่าจะสร้างรายได้ให้บริษัทราว 15% ส่วนที่เหลือรายได้หลักยังมากจากภาคเอกชน"

ล่าสุด ข้อมูลจากไอดีซี เผยว่า เน็ตแอพ ยังครองอันดับที่ 1 ด้านรายได้ในหมวดหมู่สตอเรจ และ ดีไวซ์ แมเนจเม้นท์ ซอฟต์แวร์ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ “แฟลช สตอเรจ” หรือดิสก์ที่ไม่มีหัวอ่าน มีอัตราการเติบโตสูงสุดต่อปีราว 160% ขณะที่ กลุ่มเอ็กซ์เทอร์นัล สตอเรจ ในไทยมีมูลค่าตลาดราว 3,400 ล้านบาท และเน็ตแอพยังเป็นผู้นำในตลาดนี้

ขณะที่ตลาดไทย ยังเป็นตลาดที่เติบโตสูงสุดของเน็ตแอพในภูมิภาคอาเซียน ปีนี้ตั้งเป้ารายได้เติบโตมากกว่า 10%

ปัจจุบัน นายวีระ รับหน้าที่ดูแลรับผิดชอบการบริหารงานและจัดการธุรกิจของเน็ตแอพในภูมิภาคอาเซียน ยกเว้นสิงคโปร์ ซึ่งครอบคลุมไทย พม่า มาเลเซีย บรูไน อินโดนีเซีย เวียดนาม กัมพูชา ลาว และฟิลิปปินส์ โดยให้ความสำคัญกับการวางกลยุทธ์และเพิ่มยอดขายด้วยการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้ทะลุเป้าที่ตั้งไว้ในแต่ละปี

ความต้องการเทคโนฯแต่ละประเทศ “ต่างกัน”
นายวีระ กล่าวถึงเทรนด์เทคโนโลยีในแต่ละประเทศภายใต้ความรับผิดชอบว่า ความต้องการของตลาดในภูมิภาคอาเซียนแตกต่างกัน เนื่องจากความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากรไอทีที่ไม่เหมือนกัน เช่น ในไทยซึ่งกำลังก้าวไปสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ให้ความสำคัญด้านการค้นคว้าวิจัยเพื่อพัฒนา ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การใช้ความคิดสร้างสรรค์ตลอดไปจนถึงการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ

กลุ่มลูกค้าของเน็ตแอพในไทยมีอยู่ในหลากหลายภาคธุรกิจ ได้แก่ อุตสาหกรรมน้ำมันและพลังงาน สถาบันการเงิน อุตสาหกรรมการผลิต และโทรคมนาคม ขณะที่ ได้ขยายธุรกิจไปยังภาครัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดที่มีการเติบโตสูงสุดด้านการบริหารจัดการข้อมูล