ยกระดับ 'วินัยการเงิน' คนไทย
"สมาคมธนาคารไทย" เร่งยกระดับวินัยการเงินคนไทย ตั้งเป้าเทียบชั้นฮ่องกง-เกาหลีใต้
ตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี สมาคมธนาคารไทย มีแผนชีดเจน ในการส่งเสริมให้ความรู้ทางวินัยทางการเงินแก่ภาคประชาชน (Financial Literacy) เพื่อสร้างระบบ เศรษฐกิจที่แข็งแรง เพื่อไม่ให้มีการก่อหนี้จนเกินตัว โดยการใช้เครือข่ายของธนาคารพาณิชย์ทั่วประเทศและสื่อต่างๆ ในการให้ความรู้
ปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย ระบุว่า ดังนั้นประชาชนจึงไม่ควรก่อหนี้เกิน 40% ของรายได้ ไม่เช่นนั้นจะรับภาระผ่อนชำระไม่ไหว ทั้งต้องวางแผนเรื่องรายได้ เพื่อใช้ในวัยเกษียณ
“ดังนั้น หากประชาชน มีความรู้ และมีวินัยทางการเงินเชื่อว่า จะส่งผลให้ไม่มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอลในระบบ ซึ่งจะมีส่วนช่วยลดต้นทุนของภาคธนาคาร และหากต้นทุนของธนาคารปรับลดลง ธนาคารก็สามารถปรับลดต้นทุน หรือปรับลดดอกเบี้ยให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจได้”
ทั้งนี้สร้างวินัยทางการเงิน จึงเป็นส่วนหนึ่งของทิศทางแผนยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมธนาคารมาตั้งแต่ปี 2557 ครอบคลุม 5 ด้านที่สำคัญด้วยกัน ได้แก่ 1.การสร้างระบบชำระเงินและธนาคารดิจิทัล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผน National E-payment ของรัฐบาล 2. การสร้างสังคมทางการเงินด้วย การยกระดับมาตรฐานจรรยาบรรณธนาคาร และส่งเสริมการให้ความรู้ทางการเงินแก่ภาคประชาชน (Financial Literacy) 3. การสนับสนุนการทำธุรกรรมการเงินในภูมิภาคให้สะดวกต่อการทำธุรกิจ 4.การเข้าถึงบริการทางการเงินของประชาชนทุกภาคส่วน และ 5.ผลักดันแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะที่เป็นอุปสรรค ล้าสมัย หรือยังไม่มีกฎหมายสนับสนุนเพียงพอ
ปรีดี บอกว่า สมาคมธนาคารไทย มีเป้าหมายมุ่งเน้นสร้างระบบธนาคารที่มีประสิทธิภาพสูงในระยะยาว ส่งผลต่อการเสริมสร้างขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศจากความร่วมมือจากธนาคารสมาชิกทั้งหมด
เร่งปรับทัศนคติประชาชน
ขณะที่ บุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย ระบุว่าด้วยว่า มีทิศทางการทำงานที่เน้นการปรับเปลี่ยนทัศนคติของประชาชนในเรื่องวินัยทางการเงิน ผ่านการให้ความรู้ที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้อย่างแพร่หลาย เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนพฤติกรรมทางการเงินของคนไทยให้ดียิ่งขึ้น
โดยมีเป้าหมายเพิ่มอันดับทักษะทางการเงิน ที่สำรวจโดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD ซึ่งทำการสำรวจกลุ่มประเทศทั้งที่พัฒนาแล้ว และกำลังพัฒนารวมทั้งสิ้น 30 ประเทศเมื่อปี 2557-2558 ซึ่งไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 17 ด้วยคะแนน 12.8 จากคะแนนเต็ม 21 ซึ่งเป็นระดับที่ยังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 13.2 แต่ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าฮ่องกงและประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 5 และ 7 ตามลำดับโดยตั้งเป้าจะเพิ่มอันดับ ให้อยู่ในระดับเดียวกับประเทศฮ่องกง และเกาหลีใต้ หรืออยู่ในอันดับ 5-7 ภายใน 5 ปี
“ปัจจุบันมีโครงการให้ความรู้ทางการเงินมากมาย ที่ส่วนใหญ่ทำเฉพาะเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย โจทย์ที่สมาคมธนาคารไทยมองคือ ทำอย่างไรที่ประสานความร่วมมือกัน รวมกิจกรรมทั้งหลายเข้าด้วยกัน แล้วขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรม โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งสมาคมธนาคารไทย มีศักยภาพเพียงพอที่จะช่วยสนับสนุนกิจกรรมด้านนี้ให้บรรลุผลสำเร็จ”
ใช้เครือข่ายสาขาขับเคลื่อน
ดังนั้น แผนงานที่สมาคมธนาคารไทย จะดำเนินการ ประกอบไปด้วยการใช้เครือข่ายสาขาของธนาคารที่มีอยู่กว่า 7,000 แห่ง เป็นตัวขับเคลื่อนให้เข้าถึงชุมชนในแต่ละภูมิภาค โดยใช้เนื้อหาความรู้ทางการเงินที่หน่วยงานต่างๆ ได้ทำไว้ มาปรับให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมายเพื่อจะสร้างองค์ความรู้ที่เป็นมาตรฐาน (Standardized Content) แล้วจัดทำเป็นสื่อการเรียนรู้ผ่านช่องทางดิจิทัล เพื่อสร้างศูนย์รวมความรู้ทางการเงินทางออนไลน์ ซึ่งสามารถเผยแพร่ไปสู่ทุกภาคส่วนได้ง่ายขึ้น และขยายการรับรู้เป็นวงกว้าง
นอกจากนี้ สมาคมธนาคารไทย มีบุคลากรที่มีความรู้ในเรื่องการเงินอยู่เป็นจำนวนมาก พร้อมที่จะฝึกอบรมถ่ายทอดความรู้ทางการเงินให้กับชุมชน
สำหรับ กลุ่มเป้าหมายในการให้ความรู้เรื่องวินัยทางการเงินมีอยู่สามกลุ่ม คือ กลุ่มเด็ก Gen Y หรือ Z ซึ่งเป็นเด็กชั้นประถมศึกษาหรือมัธยมศึกษา กลุ่มที่เพิ่งจบการศึกษา หรือนักศึกษาจบใหม่ และกลุ่มวัย 40 ปีที่ต้องมีการวางแผนเพื่อรองรับวัยเกษียณให้มีรายได้ที่พอเลี้ยงตัวเองได้
ให้ประชาชนมีความรู้การเงินดีขึ้น
ส่วน นวพร มหารักขกะ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายวางแผนและงบประมาณ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า แผนงานดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของธปท.ที่ต้องการส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้กับประชาชนในวงกว้าง โดยถือเป็นแนวทางที่สำคัญในการแก้ไขและป้องกันปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งต้องยกให้เป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อประเทศไทย
การที่สมาคมธนาคารไทย เล็งเห็นความสำคัญของการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน โดยได้จัดตั้งคณะทำงาน เพื่อดูแลงานด้านส่งเสริมความรู้ทางการเงินโดยตรง จึงเป็นสัญญาณที่น่ายินดีและแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของสมาคมธนาคารไทย ที่จะร่วมเป็นภาคส่วนที่สำคัญ ในการผลักดันและส่งเสริมให้ประชาชนคนไทยมีความรู้และวินัยทางการเงินดีขึ้น
ภาระผ่อนหนี้ไม่เกิน40%ของรายได้
ด้าน วีระพล บดีรัฐ รองผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย ระบุว่า สมาคมได้ทำโครงการ “เทรนหนี้” ซึ่งเน้นการสร้างความตระหนักของสังคมในประเด็นการบริหารจัดการหนี้และการมีวินัยในการใช้จ่าย มีสโลแกนสั้นๆจดจำง่ายว่า “ให้ภาระผ่อนหนี้ไม่เกิน 40% ของรายได้ต่อเดือน” เผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นส่วนของการสร้างทัศนคติที่ดีทางด้านการเงิน เป็นกลยุทธ์ป้องกันก่อนที่จะเกิดปัญหา
เน้นกลุ่มเป้าหมายไปที่ผู้ที่มีโอกาสเข้าถึงหนี้ในระบบทั้งผู้มีรายได้ประจำ ลูกค้าผู้ขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ตลอดจนนักศึกษาจบใหม่ โดยเมื่อกลุ่มเป้าหมายได้รับความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องหนี้เพิ่มขึ้น จะช่วยให้มีพฤติกรรมทางการเงินที่ดีขึ้น โอกาสที่หนี้ที่สร้างใหม่จะกลายเป็นปัญหาในชีวิตหรือครอบครัวลดลง และนำไปสู่การลดปัญหาหนี้ครัวเรือนของระบบเศรษฐกิจได้ในที่สุด