Daily Market Outlook (24 ก.พ.60)

Daily Market Outlook (24 ก.พ.60)

หยุดพักรอดูเหตุการณ์

คาดหุ้นไทยไม่ไปไหนไกลวันนี้ตามตลาดหุ้นสหรัฐที่ขยับน้อยมากเมื่อคืน โดยที่ประธานาธิบดี Trump ยังคงไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มขึ้นในนโยบายเศรษฐกิจที่หาเสียงไว้ แม้เขาจะมีกำหนดการที่จะต้องไปแถลงต่อรัฐสภาในวันอังคารที่ 28 ก.พ. แต่ รมว.คลัง Steven Mnuchinคาดว่ารัฐสภาจะพิจารณาแผนภาษีรวมทั้งนโยบายการคลังอื่นๆ ในเดือน ส.ค. ปัจจัยภายในประเทศวันนี้เป็นบวก ธปท. แถลงมีเงินทุนไหลเข้าประเทศในขณะนี้ทำให้เงินบาทแข็งค่าในระยะสั้น แต่ยังไม่เป็นปัญหา ในขณะที่ทั้ง ธปท. และผู้ประกอบการธุรกิจบ้านเห็นพ้องต้องกันว่ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะดีขึ้นตามการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน

หุ้นเด่นวันนี้: TRC (ราคาปิด 1.70 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมาย AWS 2.20 บาท)

TRC คาดว่าจะมีกำไรที่เติบโตดีในช่วงปี 2560-2562 โดยได้รับแรงหนุนจากสัญญาการก่อสร้างขนาดใหญ่ คือ เหมืองโปแตชอาเซียนชัยภูมิ (APOT) รวมถึงการฟื้นตัวของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างให้กับกิจการน้ำมันและก๊าซ โดยเราคาดว่างานเหมืองโปแตชของ APOT จะทำให้รายได้การก่อสร้างของ TRC เพิ่มเป็น 8 พันล้านบาทในปี 2560-2562 จากระดับน้อยกว่า 4 พันล้านบาท ในช่วงปี 2558-2559 แม้ว่า TRC รายงานกำไรสุทธิปี 2559 ลดลง 15.2% YoYเป็น 290 ล้านบาท แต่ถือว่าสูงกว่าที่เราและตลาดคาดการณ์อย่างมีนัยสำคัญ เพราะผลประกอบการในไตรมาส 4/59 ดีเกินความคาดหมายอย่างมาก โดยมีกำไรสุทธิไตรมาสนี้เท่ากับ 133 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% YoYและ 90% QoQอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) และอัตรากำไรสุทธิ (NPM) ในปี 2559 สูงถึง 20% และ 8% ตามลำดับ เพราะมีการบันทึกค่าใช้จ่ายงานที่ต้องแล้วเสร็จน้อยลงจากเดิมอย่างมาก เนื่องจากบันทึกสูงเกินไปมากในช่วงไตรมาสก่อนหน้านี้ คืองานวางท่อก๊าซเส้นที่ 1 ของ PTT และการสร้างโรงงานโรงงานไบโอฟูเอล แห่งที่สองของ BCP แต่เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิของ TRC จะกลับสู่ระดับปกติประมาณ 13% และ 4.5% ในปี 2560-2561 อย่างไรก็ตามยังคาดการณ์ว่า TRC จะมีการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่ง 24% ในปี 2560 และ 28% ในปี 2561 นอกจากนี้ยังมีศักยภาพที่จะชนะการประมูลงานก่อสร้างท่อส่งก๊าซเส้นที่ 5 ของ PTT มูลค่า 3.5 หมื่นล้าน เราแนะนำซื้อ และประเมินราคาเป้าหมายปี 2560 ได้ที่ 2.20 บาทตามวิธี sum-of-the-parts ซึ่งเกิดจากส่วนของการประเมินมูลค่าในธุรกิจก่อสร้างจาก EV/EBITDA ที่ 15 เท่า ตามค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมได้เท่ากับ 1.69 บาท และประเมินธุรกิจเหมืองโปแตชที่ถือหุ้น 26.22% ตามสัมปทาน 25 ปี ด้วยวิธี DCF ได้เท่ากับ 0.51 บาท Price Pattern ของ TRC มีความแข็งแกร่งอย่างมากในแนวโน้มขาขึ้นจากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, & Monthly Buy Signal หากปิดตลาดเหนือเป้าหมายถัดไปที่ 1.65 บาทได้ จะมีเป้าหมายสำคัญของรอบนี้อยู่ที่ 1.78 บาท ทั้งนี้ TRC มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 1.64 บาท (Resistance: 1.72, 1.74, 1.79; Support: 1.68, 1.66, 1.61)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• ธปท. จับตาเงินทุนไหลเข้าระยะสั้นอย่างใกล้ชิด ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวว่าจะตามเงินทุนไหลเข้าระยะสั้นทำให้เงินบาทแข็งค่า หลังจากต่างชาติพักเงินในสินทรัพย์ไทยระยะสั้นเพราะมองบาทเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่หนุนหลังโดยทุนสำรองที่แข็งแกร่งท่ามกลางตลาดโลกที่ผันผวน อย่างไรก็ดี ธปท. ยังไม่กังวลเพราะเงินไหลเข้าตอนนี้ยังไม่มากนัก และพร้อมจะคุมเงินทุนไหลเข้าหากจำเป็น (Bangkok Post)

• แบงก์ชาติและสมาคมบ้านมองกลุ่มอสังหาฯ ฟื้นตัวตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานนาย ดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจมหภาค ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย มองภาคอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวปีนี้ตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการขนส่งมวลชนต่างๆ รวมไปถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่จะทยอยลดน้อยลงภายใต้การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจในประเทศปีนี้ที่ระดับ 3.2% เช่นเดียวกับมุมมองของประธานสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรต่อการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ที่ระดับ 5% ปีนี้ (Bangkok Post)

ต่างประเทศ:

• ทรัมป์กลาวหาจีนเป็นผู้ควบคุมค่าเงิน คำกล่าวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่รัฐมนตรีคลังคนใหม่ นาย Steven Mnuchin ให้คำมั่นว่าจะประเมินการบริหารจัดหารค่าเงินหยวนของประเทศจีนอย่างเป็นแบบแผนมากขึ้น ทั้งนี้ค่าเงินหยวนในประเทศจีนปรับตัวลดลง 6.6% ในช่วงปีที่แล้วซึ่งนับเป็นการอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 20 ปี (Reuters)

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวลงเมื่อวันพฤหัส หลังจากนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐเปิดเผยว่าเขาต้องการเห็นแผนปฏิรูปภาษีผ่านสภาคองเกรสก่อนจะปิดสมัยประชุมสภาในเดือนส.ค. แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใด ๆ ราคาพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับตัวขึ้น 8/32 อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 2.389% เทียบกับอัตราผลตอบแทนเมื่อวันพุธที่ 2.418% โดยที่อัตราผลตอบแทนดังกล่าวปรับตัวลงสู่ระดับ 2.384% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ. (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ เมื่อวันพฤหัส เนื่องจากไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับแผนปฎิรูปภาษี ในขณะที่รายงานการประชุมเฟดเมื่อวันพุธชี้ว่าเฟดจะยังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. ซึ่งส่งผลกระทบต่อดอลลาร์สหรัฐ ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง 0.6% เทียบกับเงินเยนที่ระดับ 112.55 เยน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ส่วนเงินยูโรแข็งค่า 0.4% เทียบกับดอลลาร์สหรัฐอยู่ที่ 1.0595 ดอลลาร์สหรัฐ (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกเมื่อวันพฤหัส โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานและประธานาธิบดีทรัมป์ได้ให้คำมั่นต่อผู้บริหารบริษัทขนาดใหญ่ของสหรัฐหลายบริษัทว่าจะนำการจ้างงานหลายล้านตำแหน่งกลับสู่สหรัฐ แต่ไม่ได้เผยแผนที่ชัดเจนว่าจะแก้ปัญหาตำแหน่งงานที่ลดลงมาเป็นสิบ ๆ ปีอย่างไร ประธานาธิบดีทรัมป์มีหมายกำหนดการที่จะแถลงต่อสภาคองเกรสในวันที่ 28 ก.พ. ทั้งนี้ ทรัมป์ได้ให้สัญญาว่าจะมีแผนการที่ยอดเยี่ยมในการปรับลดภาษีภายในต้นเดือนมี.ค. อย่างไรก็ตาม หุ้นค้าปลีกปิดปรับตัวลงหลังทรัมป์ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับภาษีชายแดนสำหรับสินค้านำเข้า (Reuters)

• ทรัมป์มีแผนจะปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ยกเว้นภาษีสินค้าส่งออก และปรับลดภาษีนิติบุคคล ประธานาธิบดีโดนัลด์ได้กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์สเกี่ยวกับข้อเสนอทางภาษีที่จะปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคล ยกเว้นภาษีที่เก็บเข้าส่วนกลาง (federal tax) สำหรับผู้ส่งออก แต่จะจัดเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 20% (Reuters)

• นักลงทุนมีความสบายใจที่จะเข้าลงทุนในตลาดมากขึ้น จากข้อมูลของ Lipper มีปริมาณเงินจำนวนมากในกองทุนหุ้นและกองทุนพันธบัตรเอกชนในสหรัฐในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยกองทุนหุ้นเหล่านี้ได้ดึงดูดเงินจำนวน 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 22 ก.พ. ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกันที่มีเงินไหลเข้ากองทุน และกองทุนพันธบัตรที่ต้องเสียภาษีมีเงินไหลเข้ามาอีก 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กองทุนเหล่านี้มีเงินไหลเข้ามาติดต่อกัน 8 สัปดาห์แล้ว (Reuters)

• จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว แต่จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการเฉลี่ยในรอบ 4 สัปดาห์ลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับแต่ปี 1973 ชี้ว่าตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่ง โดยปรับตัวขึ้น 6,000 ราย สู่ระดับ 244,000 ราย ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 18 ก.พ. จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงอยู่ต่ำกว่า 300,000 ราย เป็นสัปดาห์ที่ 103 ติดต่อกัน ซึ่งยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 1970 ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า ลดลงสู่ระดับ 241,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.1973 (Reuters)

ยุโรป:

• ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันพฤหัสบดีปรับตัวลดลงเล็กน้อย กดดันจากหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มเหมืองแร่ ขณะที่ตลาดยังคงให้ความสนใจกับการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน นักวิเคราะห์บางกลุ่มแสดงความกังวลถึงเสถียรภาพของระดับเงินทุนของธนาคารในประเด็นทางบัญชีเกี่ยวกับระบบเงินบำนาญของอังกฤษ (Reuters)

เอเชีย:

• การดำเนินนโยบายการเงินของจีนจะระมัดระวังและเป็นกลางในปี 2560 ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดฟองสบู่สินทรัพย์และการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระดับหนี้ PBOC เพิ่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่จะช่วยคุมความเสี่ยงหนี้ โดยเงินเฟ้อจีนมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นประมาณ 2.5% ในปีนี้ (Reuters)

• นายกรัฐมนตรีจีน นายหลี่เค่อเฉียงกระตุ้นให้หน่วยงานท้องถิ่นปิดตลาดสัตว์ปีกที่มีชีวิต หลังจากได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสไข้หวัดนก H7N9 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต79 คนในเดือนมกราคม ราคาไก่ดิ่งสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่าทศวรรษที่ผ่านมาในสัปดาห์ที่แล้วและความกังวลเกี่ยวกับ H7N9 รุนแรงมากขึ้นยอดผู้เสียชีวิตในเดือนมกราคมสูงเป็นสี่เท่าเดือนเดียวกันในปีก่อนหน้าและจำนวนผู้เสียชีวิตจาก H7N9 ถึง 100 คนแล้วนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 (Reuters)

• ฟิวเจอร์เหล็กแร่ในประเทศจีนลดลงกว่า 2% ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา สินค้าคงเหลือของแร่เหล็กนำเข้าที่ท่าเรือสำคัญของจีนสูงถึง 127.55 ล้านตัน ณ วันที่ 17 กุมภาพันธ์สูงสุดนับจากปี 2547 (Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• น้ำมันดิบสหรัฐบวกแต่ก็ถอยลงมาบ้างในวันพฤหัส เพราะสต็อกน้ำมันสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่เจ็ดติดต่อกัน ซึ่งอาจลดผลบวกการการที่ OPEC ร่วมมือกันลดกำลังการผลิต น้ำมันดิบ Brent ลบ 81 เซนต์หรือ ปิด 56.65 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังจากแตะจุดสูงสุดที่ 57.26 ดอลลาร์สหรัฐ น้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบ เม.ย. บวก 75 เซนต์ ปิด 54.94 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)

• ราคาทองคำบวก 1% สู่จุดสูงสุดรอบสามเดือนครึ่งในวันพฤหัส หลังรายงานประชุม FOMC ทำให้ลดการคาดการณ์ว่าสหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ยใน มี.ค. ราคาทองคำตลาดจรขึ้นสูงสุดนับแต่ 6 ก.พ. ปิดบวก 1% ที่ 1,249.36 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หลังขึ้นไปถึง 1,251.14 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์สูงสุดนับแต่ 11 พ.ย. ทองคำล่วงหน้าบวก 1.5% ปิดที่ 1,251.40 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (Reuters)