สภากาแฟยามเช้ากับ 'สุวัจน์ ลิปตพัลลภ'

สภากาแฟยามเช้ากับ 'สุวัจน์ ลิปตพัลลภ'

สภากาแฟยามเช้า กับ "สุวัจน์ ลิปตพัลลภ" ชวนถกเรื่องปรองดองในมุมของที่ปรึกษาพรรคขนาดกลาง

สภากาแฟในเช้าวันนี้ (23 ก.พ.) สุทธิชัย หยุ่น พิธีกรรายการข่าวชื่อดัง ได้เชิญคนการเมืองสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา(ชพน.) พูดคุยผ่าน ไลฟ์เฟซบุ๊ค “Suthichai Yoon” ถึงบรรยากาศการให้ความเห็นเรื่องปรองดอง กับคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง(ป.ย.ป.) เมื่อวันที่ 15 ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งยังคงเป็นเรื่องที่น่าติดตามว่า ความตั้งใจของรัฐบาลครั้งนี้ จะทำให้การปรองดองสำเร็จหรือไม่ โดยประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา ก็ไม่รอช้าที่จะพูดเรื่องนี้

ได้เสนอทางออกในการปรองดองอย่างไรบ้าง?

ต้องบอกว่าการเริ่มต้นของรัฐบาลชุดนี้ มีแสงสว่างให้เห็นบ้าง ความขัดแย่ง 10 กว่าปีที่ผ่านมา กระทบต่อความสุขของประชาชน และเศรษฐกิจ ดังนั้นเรื่อนี้ก็ควรทำเป็นกิจลักษณะ ขณะนี้มีการเสนอเรื่องปรองดองจากหลายสถาบันเช่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หรือจากสถาบันวิชาการต่างๆ แต่ก็เป็นเพียงข้อเสนอแนะ ซึ่วคราวนี้เป็นองค์กรที่มาดูแลเรื่องนี้โดยตรง ทั้งนี้การเริ่มต้นที่เรื่องการเมืองถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะถ้าถามว่าความขัดแย้งที่ผ่านมา เกิดจากอะไรก็ต้องตอบว่าเป็นเรื่องการเมือง

ในการให้ความเห็นครั้งนั้นทางเราก็ได้มีเอกสารข้อเสนอแนะให้กับ ป.ย.ป. โดยคำถามที่ว่าเพื่อไม่ให้เกิดความจัดแย้งในสังคมอีกทำอย่างไร ทางเราก็บอกว่าให้มองย้อนหลังไปว่าเกิดอะไรขึ้นกับการเมืองไทยที่ผ่านมา ซึ่งเราเห็นว่ามีการไม่ลงสมัครเลือกตั้ง หรือกีดกันประชาชนไม่ให้ใช้สิทธิ์ หรือหลังเลือกตั้งก็ไม่ยอมจบยอมรับผล สิ่งต่างๆเหล่านี้ เมื่อ 20 ปีไม่มีบรรยากาศการเผชิญหน้าเช่นนี้ รู้แพ้รู้ชนะในเกม แต่ละคนทำหน้าที่ของตน ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งต่อไป ผู้มีอำนาจก็ควรเสริมสร้างบรรยากาศการปรองดอง แค่เพียงทุกคนแสดงท่าทีปรองดองกันในวันนี้ หรือให้ความมั่นใจว่า ตอนนี้ประเทศไทยเข้าสู่โหมดปรองดองแล้ว ก็ต้องถือว่าขณะนี้กำลังเป็นเช่นนั้น

ถ้ามีข้อครหาว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปไม่เป็นธรรม ส่วนนี้เองทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ต้องทำหน้าที่อย่างเที่ยงธรรม และเข้มแข็ง ทีผ่านมาในการเลือกตั้ง สมมติว่ามีคนทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง เช่นซื้อสิทธิ์ขายเสียงอยู่ 10% แต่มีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งไม่ค่อยถึง 50% อีกครึ่งหนึ่งของผู้ใช้สิทธิ์หายไป เมื่อเทียบอัตรส่วนกับคนทำผิด กับคนใช้สิทธิ์แล้ว กลายเป็นว่าจะมีผู้ทำผิดถึง 20% ซึ่งหมายความว่ายิ่งใช้สิทธิเลือกตั้งมากเท่าไหร่ นัยยะสำคัญของคนทำผิดจะยิ่งลดน้อยลง เอาคะแนนของผู้ใช้สิทธิ์จำนวนมากไปล้มความไม่ถูกต้องที่อาจจะเกิดขึ้นในการเลือกตั้ง

คราวนี้เมื่อรณรงค์ให้คนใช้สิทธิ์แล้ว ทำอย่างไรให้ประชาชนได้เห็นข้อเท็จจริงของนโยบาย ไม่ใช่ภาพลวงตา ไม่ใช่ถูกใจระยะสั้น แต่เป็นปัญหาประเทศระยาว กกต. จึงต้องเปิดช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลที่แท้จริงของนโยบาย และตัวผู้สมัครให้ได้ เช่นการใช้ช่องทางของสื่อ เวที หรือช่องทางออนไลน์ต่างๆ เพื่อให้ประชาชนจะได้ตัดสินใจถูก บนวิจารณญาณ และความเท่าเทียมการเข้าถึงข้อมูล ส่งผลให้การเลือกตั้งเป็นที่ยอมรับมากขึ้น

สุดท้ายเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง เราก็ต้องตกลงกันว่า ในตอนเราเห็นไม่ตรงกัน หรือมีความขัดย้งงจนมีปัญหา ก็ต้องมีข้อตกลง 7 ข้อคือ เมื่อมีการประกาศการเลือกตั้งแล้ว ทุกพรรคต้องลงเลือกตั้ง ห้ามบอยคอตต้องทำตามกฎหมายการเลือกตั้งอย่างเคร่งครัดทุกพรรคจะต้องมีการคัดคนดีมีคะณภาพๆ ลงสมัคร และนำเสนอนโยบายที่ดีด้วยผลการเลือกตั้งออกมาอย่างไรต้องยอมรับ เหมือนนักกีฬาในการจัดรัฐบาล เราจะต้องทำหน้าที่ร่วมกัน เพราะที่ผ่านมา รัฐบาลไม่ฟังฝ่ายค้าน ฝ่ายค้านก็ค้านอย่างเดียว ซึ่งที่จริงต้องช่วยกันทำเพื่อประเทศชาติต้องลดเงื่อไขทางการเมือง ที่ผ่านมาต่างฝ่าย ต่างมีเงื่อนไข จนเกิดเดดล็อคทางการเมืองจากนี้ไป ถ้าเราเห็นไม่ตรง กัน ใช้เวทีสภาตัดสิน ไม่เล่นการเมืองข้างถนน ถ้าพรรคการเมืองทำตามนี้ได้ ซึ่งจริงๆเรื่องนี้เป็นวัฒธรรมการเมืองเก่าที่เราเคยมีอยู่ ซึ่ง 10 ปีที่ผ่านมา เรื่องเหล่านี้หายไป ถ้าทำตามนี้ได้การเมืองจะกลับมาสงบได้

ทางพรรคชาติพัฒนา ไม่ได้เสนอเรื่องการนิรโทษกรรม เซ็ตซีโร่หรือ?

ทางพรรคเราไม่ได้พูดชัดเจนเรื่องนี้ ที่ผ่านมาเราเห็นกับบางแนวคิดที่ระบุว่า ความผิดที่ผ่านมามีเรื่องของความขัดแย้ง ทางการเมืองเป็นสิ่งชักจูง และยังมีเรื่องของความเหลื่อมล้ำ แทนที่จะใช้กระบวนการอาญาปกติ ก็ให้ใช้นำหลักยุติธรรมช่วงเปลี่ยนผ่าน และการสมานฉันท์มาใช้ หมายถึงการค้นหาความจริง และใช้ความยุติธรรม รวมถึงมีกระบวนการเยียวยาร่วมด้วย หรือการปฏิรูปสังคมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้วย

ทางพรรคการเมืองมีการคุยกันระหว่างพรรคนอกรอบไหม?

ผมว่าตอนนี้แต่ะพรรค ไม่ค่อยได้คุย เพราะ บรรยากาศต่งๆ และข้อจำกัดที่ห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง แต่ถ้าเจอกันตามงานวัดเกิด งานแต่งงานก็อาจจจะมีบ้าง

ในฐานะที่ได้ฉายามือประสาน 10 ทิศ ได้พยายามติดต่อพรรคการเมืองใหญ่ๆ หาทางออกร่วมกันหรือไม่

บรรยากาศการเมืองไม่เป็นไปถึงจุดนั้น จริงๆแล้วตอนนี้ผมก็ไม่ใช่นักการเมืองเมืองหากแต่เป็นอดีต แต่ในฐานะคนไทยแล้ว ไม่อยากเห็นความแตกแย้ง ถ้าผมเจอกับคนการเมืองก็มักจะพูดเสมอว่า ความแตกแย้งก็เป็นเพราะเราทะเลาะกันเอง ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักในปัญหาดั่งกล่าว ถ้าคุยกันได้ก็ขอให้คุย ทั้งนี้เรื่องความัดแย้งทางการเมืองเป็นแค่ 1 ใน 10 โจทย์ที่ ป.ย.ป. ส่งให้ยังมีเรื่องอื่นๆอีก ซึ่งทางคณะกรรมการมีความตั้งใจที่จะรวบรวมความเห็นของทุกฝ่าน และสรุปว่าแนวทางการดำเนินการต่อไปอย่างไร ตอนนี้เขาต้องเชิญทางพรรคการเมืองก่อน และจะมีภาคส่วนอื่นๆตามมาภายหลัง

“ส่วนเรื่องข้อเสนอทำสัตยาบัน MOU ของนักการเมืองร่วมกัน หากทำได้ก็ดี แม้ไม่มีผลลโทษทางกฎหมาย แต่เป็นการแสดงเจตนารมณณ์ให้ประชาชนในประเทศ และต่างประเทศได้เห็น ทำไปก็ไม่เสียหาย แต่ถ้าไม่ได้ทำก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้มีแนวทางร่วมกัน” ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา กล่าวปิดท้าย

หลังจากที่จบการสนนาร่วมกับ สุวัจน์ สิ้นสุดลง แน่นอนว่าระหว่างการ ไลฟ์วีดีโอได้มีช่องทางสนทนาผ่านแชทด้วย โดยพิธีกรรายการข่าวชื่อดัง ได้กล่าวทิ้งท้ายต่ออีกว่า

“เมื่อสักครู่มีคนแชทบอกว่า เบื่อการเมืองแล้ว แต่ส่วนตัวผมคิดว่า บ้านเมืองเรากำลังก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ จริงๆแล้วส่วนตัวผมเองก็เบื่อในบางครั้ง แต่ว่าประชาธิปไตย หรือการที่ทำให้ประเทศก้าวผ่านความขัดแย้งที่ลากยาวมาถึง 10 ปีต้องอยู่ที่เราด้วย อย่ามองว่าการเมืองเป็นเรื่องของพรรคการเมือง นักการเมือง นักเลือกตั้งเท่านั้น ซึ่งเรื่องของการเมืองเป็นเรื่องของ คุณภาพชีวิตเรา เพราะนักการเมืองมีบทบาทในการบริหารประเทศ หากเราไม่สนใจเรื่องนี้แล้ว หรือเราเบื่อ แล้วปล่อยให้เป็นเรื่องของนักการเมือง และไม่สามารถผลักดันคนดี-คนเก่ง เข้าไปอยู่ในแวดวงการเมือง ประเทศชาติก็จะไปได้แย่แน่ๆ แล้วจะกลับไปสู่วังวงความล้มเหลวเหมือนเดิม”