นู สกิน รุกดิจิทัล เปิดผู้ใช้ปรุงสูตรครีมเองผ่านแอพ

นู สกิน รุกดิจิทัล เปิดผู้ใช้ปรุงสูตรครีมเองผ่านแอพ

นู สกินฯ รุกดิจิทัล เปิดตัวผลิตภัณฑ์นวัตกรรม “ageLOC Me” ให้ผู้บริโภคออกแบบสูตรสกินแคร์ได้ด้วยตัวเองแผ่นแอพ จากสูตรบำรุงกว่า 2 พันสูตร

นางวิภาดา ตั้งปกรณ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจขายตรงในปี 2560 นี้ เชื่อว่าการแข่งขันในตลาดจะเป็นไปอย่างเข้มข้น เนื่องจากเป็นปีที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในการขับเคลื่อนธุรกิจเข้าสู่ยุคของดิจิทัลแบบเต็มรูปแบบมากขึ้น ซึ่งวันนี้การแข่งขันของธุรกิจขายตรงไม่ใช่เป็นเพียงการแข่งในตลาดเดียวกันอีกต่อไป แต่กำลังจะกลายเป็นการลงไปแข่งกับทุกตลาด ซึ่งเป็นโจทย์ท้าทายให้กับธุรกิจขายตรง ทำให้บริษัทนำเทคโนโลยีที่มีอยู่มาเป็นเครื่องมือที่ทำให้สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภค โดยจุดแข็งของบริษัทยังคงเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเอจล็อคที่เป็นผลิตภัณฑ์หมวด แอนไท-เอจจิ้ง

ประกอบกับ นู สกิน เล็งเห็นถึงศักยภาพของตลาดความงามในประเทศไทยที่ปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านบาท และเติบโตอย่างต่อเนื่อง 8-10% ทุกปี อีกทั้งตลาดนำเข้าเครื่องสำอางในประเทศไทยมีการเติบโตอยู่ที่ 16.1% หรือคิดเป็นมูลค่า 51,487 ล้านบาท โดยประเทศสหรัฐอเมริกามีการนำเข้าเครื่องสำอางสูงเป็นอันดับ 3  ฃ

ทั้งนี้ปัจจัยการเติบโตมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป การเติบโตของสังคมเมืองและสังคมออนไลน์ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ ผู้บริโภคหันมาใส่ใจความเป็นเฉพาะบุคคลมากขึ้น นู สกิน จึงมองเห็นศักยภาพขององค์กรและความได้เปรียบด้านการแข่งขันทางการค้าในตลาดกลุ่มสกินแคร์ ที่ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก

นอกจากนี้ ในปี 2560 บริษัทได้มีการวางกลยุทธ์และปรับแผนธุรกิจให้ทันกับสถานการณ์และความต้องการของตลาด โดยมุ่งเน้นการนำเสนอนวัตกรรม เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย ตามคอนเซ็ปต์การเป็นบริษัทผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ต่อต้านความเสื่อมชรา

ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “เอจล็อค มี” (ageLOC Me) นวัตกรรมของการบำรุงผิวยุคดิจิทัลลที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้ดีไซน์สูตรสกินแคร์เฉพาะบุคคล ที่ตรงเข้าจัดการสัญญาณริ้วรอยแห่งวัยพร้อมบำรุงผิว โดยสามารถให้ผู้ใช้มีอิสระในการกำหนดสูตรตามความต้องการและเหมาะสมกับผิวเฉพาะบุคคล สามารถตั้งค่าความเข้มข้นของเนื้อครีม น้ำหอม ระดับสารกันแดด ที่มีให้เลือกมากกว่า 2,000 สูตร ด้วยการดีไซน์สูตรบำรุงผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนที่ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที

และอีกหนึ่งไฮไลท์ของผลิตภัณฑ์ “เอจล็อค มี” คือชุดเครื่องมือผสมครีมและเซรั่ม มีกลไกอัจฉริยะเพื่อให้ผู้ใช้ตั้งค่าการใช้งานได้ตามความต้องการ เช่น การปรับปริมาณของครีมที่ถูกปล่อยออกมาในแต่ละครั้ง โดยเครื่องจะตั้งค่าอัตโนมัติเพื่อเลือกครีมบำรุงได้ถูกประเภทไม่ว่าจะเป็นการบำรุงในตอนเช้า หรือการบำรุงในตอนกลางคืน และยังแจ้งเตือนเมื่อปริมาณใกล้หมดเพื่อให้ผู้ใช้ได้ทำการเตรียมผลิตภัณฑ์ชุดต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง เป็นต้น

สำหรับสัดส่วนยอดขาย ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเอจล็อคทั้งผลิตภัณฑ์ สกินแคร์ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 70% ผลิตภัณฑ์กลุ่มสกินแคร์และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอื่นๆ มีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 30% โดยในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ด้านสัดส่วนการเติบโตของผู้แทนจำหน่ายในปี 2560 จำแนกเป็นสมาชิกทำเนียบ 10 ล้านเหรียญสหรัฐ 3 บัญชีรายชื่อ สมาชิกทำเนียบ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ 1 บัญชีรายชื่อ สมาชิกทำเนียบ 100 ล้านบาท 5 บัญชีรายชื่อ สมาชิกทำเนียบ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ 21 บัญชีรายชื่อ และสมาชิกทำเนียบ 1 ล้านบาท จำนวน 927 บัญชีรายชื่อ

ทั้งนี้ปัจจัยความสำเร็จของ นู สกิน มาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในแบรนด์และสินค้า เมื่อใช้แล้วมีการซื้อซ้ำและบอกต่อ ตลอดจน บริษัทมีทิศทางการขยายเครือข่ายเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์และฐานสมาชิกในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อให้เพิ่มมากขึ้น มีการปรับกลยุทธ์เน้นทำการตลาดผ่านออนไลน์แบบเต็มรูปแบบ รวมถึงการกระตุ้นยอดสมาชิกและสร้างโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งเชื่อมั่นว่าปัจจัยบวกในปีนี้จะทำให้ นู สกิน ประเทศไทย สามารถสานต่อความสำเร็จในการพิชิตยอดขายตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน นางวิภาดากล่าวสรุป