ออสการ์ 2017 ชัยชนะ “เสรีนิยมผิวขาว”

ออสการ์ 2017 ชัยชนะ “เสรีนิยมผิวขาว”

ถอดสมการความคิดเบื้องหลังรางวัลระดับเวิร์ลด์คลาส นับถอยหลังพิสูจน์‘จริตออสการ์’

ถ้า เลนิน ให้คำจำกัดของความชั่วร้ายสูงสุดคือลัทธิ“ทุนนิยม” ดูเหมือนสายมาร์กซิสต์ ก็จะเรียกสิ่งเดียวกันว่ามันคือพวก “จักรวรรดินิยม” อันมีความหมายถึง “ภารกิจของคนขาว” หรืออารยธรรมของคนขาวอยู่เหนืออารยธรรมอื่นๆ ทั้งปวง (อ้างอิงจากบทกวี White Man's Burden ของ รัดยาร์ด คิปลิง)

บทกวีข้างต้นนี้ เคยถูกอ้างถึงในบรรยากาศของ “ออสการ์ 2016” เมื่อมีการประกาศรายชื่อนักแสดงออกมาแล้วปรากฏว่า “มีแต่คนขาว” ในสาขาหลักๆ แม้แต่ “ลูกบุญธรรม” ของ ร็อคกี้ (ใน rocky ตอนใหม่) ก็ยังถูกปฏิเสธจากการเข้าชิง (ทั้งที่จะว่าไป หนัง rocky คือภาพสะท้อนของอาการรักชาติของ “อเมริกันชน” มายาวนาน ที่อย่างน้อย นักมวยชื่อนี้ก็ขึ้นชกบนเวทีด้วยกางเกงลวดลายธงชาติอเมริกัน โดยมีคู่ต่อกรคือ รัสเซีย)

ก่อนจะไปสู่การลุ้นรางวัลตุ๊กตาทองที่ popular มากที่สุดในโลก ในเช้าวันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ (ตามเวลาประเทศไทย) คงจะดี ถ้าเราจะมาค่อยๆ สแกนแง่มุมบางอย่างที่แฝงฝังอยู่ในออสการ์มานาน นิตยสาร GQ ของ UK เล่มประจำเดือนมีนาคม มีรายงานว่า 91% ของ voter คือ คนผิวขาว, 73% คือ ผู้ชาย และที่สำคัญมากคือ อายุเฉลี่ยของกรรมการคือ 63 ปี

มองแบบผิวเผิน... ตัวเลขเหล่านี้ก็คือ “ข้อมูลประกอบเอกสาร” ที่แจกในงาน ทว่า มองแบบเพ่งพิศ เราจะพบว่ามันคือ “รายละเอียด” ที่สะท้อนทิศทางและแนวโน้มที่น่าสนใจ แม้จะมีจำนวนกรรมการหรือคนโหวตที่เพิ่มมากขึ้นเกือบ 7,000 คน(บวก-ลบ) แต่ส่วนใหญ่ของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง ก็อาศัยอยู่ในลอสแองเจลิสและแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นฐานเสียงของ “เดโมแครต” แทบทั้งสิ้น

แพ็คเกจจิ้งที่มักถูกมัดขายคู่มากับอะไรๆ ที่เป็นเดโมแครต นั้นก็คือ “ลัทธิเสรีนิยม” ซึ่ง “แปะป้าย” และ “ปักไมล์” มานานแล้วในโรงงานอุตสาหกรรมฮอลลีวู้ด เสรีนิยมนี่เอง ที่ทำให้ No Country for Old Men แซงเรื่องอื่นๆ ขึ้นไปได้หนังยอดเยี่ยมในอดีต หรือล่าสุดปีที่ผ่านมา เสรีนิยมจ๋าอย่าง Spotlight ก็ส่งเสียงดังสุดในสาขา The Best Picture

“มีเรื่องหนึ่งที่สะท้อนว่า เรื่องอิทธิพลของคนขาวเสรีนิยมมีจริง ก็คือตอนที่ Forrest Gump ได้ออสการ์ปี 1994 คือมันยืนยันชัดเจนเลยว่า ออสการ์เป็นพวกเสรีนิยมหรือ liberal และมันไม่ใช่เรื่องล่องลอยในคำพูด” ประวิทย์ แต่งอักษร นักวิจารณ์ และอาจารย์สอนวิชาภาพยนตร์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ตั้งข้อสังเกต

ประวิทย์ บอกว่า โดยส่วนตัวเขาก็เชื่อเรื่องพวกนี้ ออสการ์คือเสรีนิยม คือคนผิวขาวมีอิทธิพลในการชี้นำผลรางวัล “...แต่พวกเขาเป็นเสรีนิยมปานกลาง คือไม่สุดโต่งไปข้างหน้า แต่ก็ไม่อนุรักษ์นิยมจนเกินไป เพียงแต่เชื่อในแนวทางเสรีนิยม มนุษยนิยม สิ่งที่ควรปลดปล่อย อะไรแบบนี้”

บางคนอาจจะมองว่า ออสการ์มีการเปิดโอกาสให้กรรมการมีจำนวนมากขึ้นกว่าในอดีต จาก 4,000 ปลายๆ มาถึง 7,000 คน แต่ ประวิทย์ มองว่า “ถ้ากลับไปดูย้อนหลังออสการ์ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า ออสการ์ดีขึ้นนะ มันไม่ได้แย่ลง เพราะอย่างที่บอกคือ ความเป็นเสรีนิยมและแทบทั้งหมดคือ ผิวขาว มันก็สะท้อนอะไรบางอย่างอยู่ในที”

นิตยสาร Sight & Sound เล่มสรุปปี 2016 มีรายงานว่า ถ้านับเส้นทางออสการ์ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา หนังที่เกี่ยวกับ “คนดำ” หรือผิวสี มักได้รับโอกาสให้ไปปรากฏตัวอยู่ “เป็นระยะๆ” ไม่มาทุกปี แต่ก็ไม่ได้หายไปนาน... ไซม่อน เฮย์เวิร์ด ตั้งข้อสังเกตว่า เพราะเสรีนิยม มักชมชอบการปลดปล่อยพันธนาการสิ่งต่างๆ (ไม่กดขี่ผิวสี, ไม่จองจำเพศหญิง)

มีการตั้งข้อสังเกตด้วยว่า หนัง 9 เรื่องที่เข้าชิงสาขาหนังเยี่ยมปีนี้ จึงเป็นตัวแทนของ “แต่ละส่วนของความคิด” แบบ liberal ยุคใหม่

ชอบความหลากหลายทางเพศ(moonlight), ความหลากหลายของเชื้อชาติ(Hidden Figure, Fences, คนนอกสังคม(Manchester by the Sea) ส่งเสริมฮีโร่อารมณ์รักชาติแบบ Hacksaw Ridge) และที่เป็น “ศาลหลักเมือง” ก็คือ La La Land

ในหนังหลายเรื่องที่กล่าวมานี้ ถูกเขียนบทและกำกับโดยคนผิวขาว แม้แต่ในหน้งที่คนผิวสีถูกกระทำและช่วยเหลือ สุดท้ายก็มาจากผิวขาว (หรือผิวขาวคือผู้ไถ่ถอน) หรือนี่อาจจะชี้นำว่า หนังที่เข้าชิงออสการ์ 2017 คือภาพสะท้อน “อารมณ์-ความรู้สึก” คนขาวแนวเสรีนิยม ที่เลือก คัดกรอง หนังที่พวกเขาพึงพอใจ และเป็นตัวแทนของออสการ์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ เขียนไว้ในมติชนสุดฯว่า นัยยะหนึ่งของคนขาวที่ปรากฏในหนังเต็งอย่าง La La Land ก็คือ การที่ตัวเอกของหนัง แสดงตัวในฐานะผู้ปกป้องเพลง jazz จากคนดำ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ขณะที่คนดำนำเอาดนตรีแนวนี้ไปสู่ความเสื่อมทราม แต่พระเอกผิวขาวของเรื่องกลับปกป้องมันด้วยอุดมการณ์ และการเสียสละ...

ขณะที่ตัวละครจาก Lion, Hacksaw Ridge คนขาวแสดงตัวในฐานะผู้ให้ ผ่านตำแหน่งผู้โอบอุ้มและช่วยเหลือคนดำ พรทิพย์ แย้มงามเหลือ นักแปลบทความภาพยนตร์ ชี้ว่า การวางภาพของคนขาวในหนังคนผิวสี ก็สะท้อนการเป็นผู้ปลดปล่อยตามแนวทางของเสรีนิยม ที่ชอบช่วยเหลือโลกมนุษย์

เธอบอกว่า แม้อายุของ voter จะมีค่าเฉลี่ยมากถึง 63 ปี แต่เป็นวัยเกษียณที่ไม่ใช่ “ขวาจัด” มีลักษณะผ่อนปรนและยืดหยุ่นพอสมควรเมื่อดูจาก “หนังเข้าชิง” ทุกๆ ปี

“จะว่าไป... เราก็มักจะเห็นงานที่เป็นตัวแทนกลุ่มต่างๆ นะ เช่นหนังตัวแทนเพศหญิง ตัวแทนผิวสี และตัวแทนของคนนอก ที่ยังไม่ละเลยฮีโร่แบบแพ็คเกจจิ้งอเมริกัน ซึ่งมักจะโผล่มาบนเวทีออสการ์ อยู่เป็นระยะๆ”

ปีที่แล้ว หลังการประกาศผู้เข้าชิงออสการ์ 2016 ไฮไลท์ที่ถูกพูดถึงทันทีก็คือการปะทะกันระหว่าง เสรีนิยม กับ อนุรักษ์นิยม และผิวขาวกับผิวดำ

แต่ปีนี้ที่จะดูสนุกสนานอยู่บ้างก็คือ หลังการประกาศหนัง ดารานักแสดง ที่เข้าชิง สื่อเมืองนอกก็จัดการพาดหัวด้วยคำว่า four race โดยคำที่ว่านี้ เป็นความหมาย “ซ้อนไปซ้อนมา” อันมี “นัยยะ” ถึง 4 แง่มุมด้วยกัน นอกจากจะแปลว่าแข่งขัน ...มันยังหมายถึงการชิงชัยของนักแสดงผิวสี 4 คน จาก 4 เรื่องที่สูสีกัน และความหมายสุดท้ายคือ การแดกดัน “ออสการ์” ที่ปีก่อนโดนด่าเรื่อง OscarSoWhite คือบ้าพวกผิวขาว ไม่เลือกนักแสดงผิวสีเข้าชิง (จนฐานคนดูหดหาย เนื่องจากประชากรผิวสีรวมตัวแอนตี้การดูออสการ์)

ปีที่แล้ว ตัวเต็งหามไม่มี แต่ก็ยังพลิกล็อคจนได้ เมื่อหนัง Spotlight ได้รางวัลหนังยอดเยี่ยม มาปีนี้ เต็งหามมีอยู่เรื่องเดียวนอนมา นั่นคือ สวรรค์ La La Land ซึ่ง “เข้าสเป็ค” และ “จริตออสการ์” ทุกอย่าง โดยเฉพาะการส่งเสริมคุณค่าเก่าแบบสังคมอเมริกัน

แม้ว่าจะไม่ได้ตรงกับ “ท่าบังคับ” ของออสการ์ในอดีต แบบที่เรียกว่า touchstone convention ซึ่งในช่วงทศวรรษที่ 80-90s นั้น มี “ท่าบังคับ” อย่างไม่เป็นทางการอยู่ 5 ข้อ

คือ 1.หนังยอดเยี่ยมมักทำรายได้มากมายเกินหลักร้อยล้าน 2.หนังยอดเยี่ยมมักเป็นแนวทางเนื้อหาที่ดูง่าย มีความป๊อปปูลาร์สูง (สองคุณสมบัติแรกนี้ titanic, forrest gump, braveheart คือตัวอย่างที่ชัดเจน)

3.หนังชนะออสการ์มักเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ มีขนาดที่ใหญ่โต เน้นโปรดักชั่น และ 4.มักเป็นงานที่จรรโลงคุณค่า อารมณ์ ความรู้สึกตามขนบของสังคมอเมริกัน (ดังที่เคยมีการแดกดันว่า ออสการ์คือ รางวัลอเมริกันเพื่อคนอเมริกัน) ข้อสุดท้ายคือข้อที่ 5 หนังยอดเยี่ยมออสการ์จะไม่ปล่อยให้คนดู ออกจากโรง หรือกลับบ้านไปด้วยความสับสน ค้างคา มันต้องพูดประเด็นชัดเจน และมักเป็นด้านขาวสะอาด คุณงามความดี

ถ้าเอา 5 คุณสมบัตินี้ มา “จับ” หนังทั้ง 9 เรื่องที่เข้าชิงออสการ์ 2017 ม้าที่นำหน้าในบรรดาม้า 9 ตัวก็คือ la la land (นิตยสาร variety เมื่อเกือบ 80 ปีที่แล้วเปรียบเทียบการจัดงานออสการ์ เหมือนการแข่งม้า เพราะทำให้เกิดรายได้ เกิดการสร้างงานแก่ชาวอเมริกัน)

ที่สำคัญ หนังเพลงเพียงเรื่องเดียวที่เข้าชิงในสาขาหนังยอดเยี่ยมปีนี้ มีครบทุกท่วงท่าที่ออสการ์ต้อง ทั้งรายได้และการแสดงที่ดี ทั้งการเขียนบทที่เต็มไปด้วยชั้นเชิง และที่สำคัญ มันทำให้คนดู enjoy และอิ่มเอมไปกับสิ่งที่หนังเล่า นี่คือ “รสชาติ” แบบที่คนอเมริกันต้องการโดยมีหัวใจสำคัญเน้นย้ำตลอดเวลาเกี่ยวกับ “คุณค่า” ของยุคสมัย ที่ไม่ลืมเชิดชู “ความฝันแบบอเมริกันชน”

พ้นจากการตั้งข้อสังเกตนานาประการที่กล่าวมาข้างต้น... สิ่งที่น่านับถือ น่าทึ่ง ไม่ว่าเราจะชอบหรือชังรางวัลออสการ์ก็ตาม นั่นคือ “ตุ๊กตาทองอเมริกัน” ตัวนี้ มีการ “ปรับตัว” ไปตามกระแสสังคมโลกตลอดเวลา อาทิ เมื่อสังคมโลกเน้นการขุดคุ้ยตรวจสอบความจริง spotlight ก็ชนะเลิศ, พอเทรนด์ผิวสีมา 12 Years a Slave ก็ส่งหนังมา, เมื่อนโยบายการเมืองในยุค 90s คลี่คลาย เจ้า Forrest Gump ก็ตอบสนองอารมณ์ความรู้สึกของสังคมอเมริกัน, พอผ่านเหตุการณ์สังคมหย่าร้างเป็นประวัติการณ์ จนอเมริกันถามหาคุณค่าของการอยู่ร่วมกัน American Beauty ก็ขึ้นไปคว้าหนังเยี่ยมในปี 2000

“การปรับตัว” กับแง่มุมทางสังคม ไม่ถือว่าเกิดขึ้นทุกปี แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นอยู่เป็นระยะๆ มีเรื่องฮาๆ คือ ปีที่ The Hurt Locker ได้หนังยอดเยี่ยมในปี 2008 นั้น มันไม่มี “วี่แวว” มาก่อน ทุกคนเต็งไปที่ avatar แบบไร้ราคาต่อรอง ทว่า... อย่าลืมว่า ตลอดทั้งปี 2008 นั้น กระแสเดียวที่พัดแรง และพัดตลอดทั้งปีคือ กระแสเฟมินิสต์!

The Hurt Locket คือหนังของผู้กำกับหญิง!

ที่สำคัญ ก่อนหน้านั้นนับเกือบหนึ่งศตวรรษ สิ่งที่ยังไม่ถูกปลดปล่อยจากออสการ์ก็คือ หนังของผู้กำกับเพศหญิงชนะออสการ์

“การที่เสรีนิยม คอยเปิดทางให้คนผิวสี ตัวละครเพศหญิง ฮีโร่คนนอก ขึ้นมาได้รางวัล มองในชั้นหนึ่ง อาจหมายถึงถ้วยชนะเลิศของพวกเขา” พรทิพย์ ตั้งข้อสังเกต 

“...แต่ในทางหนึ่ง พวกคนขาวเสรีนิยม ก็ได้สบายอกสบายใจไปด้วยว่า เบื้องหลังการโหวตคะแนนตั้ง 91% ของทั้งหมดนั้น... มาจากกรรมการผิวขาว น้่นเอง”