“ฮ่องกง” ก้าว-รอ-ก้าว

“ฮ่องกง” ก้าว-รอ-ก้าว

ความเร่งรีบในยุคปัจจุบันทำให้ทุกคนเลือกใช้เทคโนโลยีมาเป็นตัวช่วยในการเดินทาง แต่ถ้าพอมีเวลาว่าง เดินด้วย “เท้า” ของตัวเองบ้าง ก็คงจะดี

ถ้าให้นึกถึงประเทศที่ครบเครื่องด้านการท่องเที่ยวในเอเชีย ไม่นับประเทศไทย คุณนึกถึงประเทศไหนกันบ้าง


สำหรับฉัน ฮ่องกง ลอยขึ้นมาก่อนใครเพื่อน (ถึงแม้จะไม่ใช่ประเทศ แต่ขึ้นชื่อว่า “เขตบริหารพิเศษ” ก็เข้าข่ายใกล้เคียงกัน) เพราะ...


เป็นประเทศที่ไปง่าย(ไม่ต้องขอวีซ่า) ค่าใช้จ่ายปกติ(ไม่แพงเวอร์หรือเกินกว่าค่าเงินในเมืองไทยมากนัก) มีระบบการขนส่งมวลชนสะดวกติดอันดับต้นๆ ของโลก(ทั้งรถไฟใต้ดิน รถเมล์ รถราง เรือเฟอร์รี่ แท็กซี่ เชื่อมกันทั้งเกาะ) แหล่งท่องเที่ยวครบ (ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ธรรมชาติ ย่านฮิปร่วมสมัย) อาหารอร่อย (ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ ให้มันลึกซึ้ง) สื่อสารสะดวก (เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ของคนฮ่องกงใช้ภาษาอังกฤษได้) ไม่มีฤดูกาลท่องเที่ยว (ยกเว้นช่วงเซลล์ทั้งเกาะนะ) สินค้าทุกอย่างปลอดภาษี (สิ่งนี้ดีที่สุด)


เหตุผลมากมายขนาดนี้ จึงไม่ต้องแปลกใจที่นักท่องเที่ยวชาวไทยจะเลือกเดินทางไปเยือน “ฮ่องกง” มากเป็นอันดับ 2 รองจาก “โตเกียว” (อันนี้ต้องยอมเขา)


ส่วนใหญ่คนไทยไปฮ่องกงทำไม แน่นอน อันดับแรกๆ ต้องไปชอปปิงเป็นเรื่องปกติ ก็เขาปลอดภาษีนี่นา รองลงมาก็ไปไหว้พระขอพรเสริมดวงฮวงจุ้ยอะไรก็ว่าไป พวกที่ตั้งใจมากินอาหารก็มีเยอะ แต่น้อยถึงน้อยมากที่มาฮ่องกงเพราะอยาก “เดิน” คราวนี้เราอยู่ในกลุ่มน้อยมากนี่แหละ


เคยได้ยินมั้ย “เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง” พระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่บอกให้เรา “ค่อยๆ” ทำในทุกๆ เรื่อง การท่องเที่ยวก็เช่นกัน


.............


สายการบินประจำชาติอย่างคาเธย์แปซิฟิคพาเราร่อนลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกงตามเวลาแบบเป๊ะๆ นั่นทำให้เราไม่ต้องผิดนัดกับ พี่มาลี ถามรางกุล มัคคุเทศก์ตัวแม่ประจำฮ่องกง หรือที่ทุกคนรู้จักกันดีในนาม “เจ้าแม่ฮ่องกง”(เพจเฟซบุ๊คชื่อนี้เลย)


ทริปนี้เราได้รับเกียรติจากพี่มาลีเป็นตัวแทน “การท่องเที่ยวฮ่องกง” ในการพาเรา “เดิน” ชมเขตบริหารพิเศษเล็กๆ ที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่ แต่อย่าเถรตรงเกินไป เราไม่ได้เริ่มต้น “เดิน” ตั้งแต่สนามบิน


“ใครเคยมาฮ่องกงแล้วบ้าง” มักเป็นคำถามแรกที่ไกด์จะถามเมื่อเราเดินทางไปประเทศนั้นๆ ฮ่องกงก็ไม่ต่าง และในจำนวนพวกเราที่เดินทางมาโดยการเทียบเชิญของการท่องเที่ยวฮ่องกง มีไม่กี่คนเท่านั้นที่เพิ่งมาเยือนฮ่องกงเป็นครั้งแรก


“แล้วคนที่เคยมาไปเที่ยวไหน” ตามสเต็ปก็ว่ากันไป ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์, โอเชี่ยนปาร์ค, ขึ้นกระเช้านองปิง, ไหว้พระใหญ่, ไปวัดกังหัน(แชกง), ย่านชอปปิง บลาๆๆ


เอาล่ะ พี่มาลีว่า จะพาไปรู้จักฮ่องกงในมุมที่แตกต่าง แต่ต้องอาศัยอวัยวะบางส่วนในร่างกายเราเป็นตัวช่วย นั่นคือ “เท้า” ของเรานั่นเอง


อย่างที่บอกแต่ต้นว่า ฮ่องกง ไม่ใช่ประเทศ แต่มีชื่อเต็มๆ ว่า เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน คือก่อนหน้านี้ฮ่องกงก็เป็นส่วนหนึ่งของจีนแผ่นดินใหญ่ จนราวปี ค.ศ.1842 จีนพ่ายแพ้สงครามฝิ่น ทำให้อังกฤษเข้ายึดครองเกาะฮ่องกง และต่อมาก็มีการเช่าเกาะอื่นๆ ที่อยู่รายรอบด้วย ฮ่องกงในยุคนั้นจึงอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษแบบไม่มีเงื่อนไข กระทั่งวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ.1997 อังกฤษจึงได้ส่งมอบฮ่องกงคืนสู่อธิปไตยของจีน และอยู่ในฐานะเขตปกครองพิเศษภายใต้หลักบริหาร “หนึ่งประเทศ สองระบบ” มาจนถึงทุกวันนี้


ใต้ความรุ่งโรจน์เรืองรองและบ้านช่องที่ทันสมัย ในมุมเล็กๆ มุมหนึ่ง คือสถานที่ซึ่งเก็บรวบรวมความทรงจำอันแสนนานของฮ่องกงไว้ภายใต้ “ก้อนอิฐ” ที่เรียกว่า เส้นทางวัฒนธรรมหล่งยุกเถ่า (Lung Yeuk Tau Heritage Trail)


พี่มาลีเล่าว่า หล่งยุกเถ่า ในภาษาจีนหมายถึง “ภูเขามังกรทะยาน” คือในอดีตชาวบ้านจะมองเห็นภูเขาบริเวณนี้มีลักษณะคล้ายกับมังกรที่กำลังเคลื่อนไหว จึงพากันเรียกว่า หล่งยุกเถ่า และตอนนี้เราก็กำลังเดินทอดน่องอยู่บนหลังมังกรที่ว่า


บ้านเรือนบริเวณนี้มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหนึ่งเป็นบ้านดีไซน์ใหม่ที่ดูทันสมัย ในขณะที่อีกบางส่วนยังอาศัยอยู่ในกำแพงอิฐขนาดใหญ่ คล้ายย้อนกลับไปราว 1,000 ปีก่อน


ชาวบ้านกลุ่มแรกที่มาอยู่ในหล่งยุกเถ่าคือชนเผ่าถัง หนึ่งในห้าชนเผ่าที่ใหญ่ที่สุดในเขตแดนนี้ ตามประวัติศาสตร์ว่า ในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้(ค.ศ.1127-1279) มีองค์หญิงองค์หนึ่งหลบหนีการไล่ล่าของมองโกลมาอยู่กับชนเผ่าถัง ก่อนจะอภิเษกสมรสกับชายชาวถังและมีลูกหลานด้วยกัน จากนั้นพากันมาอยู่ที่หล่งยุกเถ่า โดยสร้างกำแพงล้อมรอบหมู่บ้าน 5 แห่ง เพื่อป้องกันภัยจากโจรสลัดที่มีอยู่เกลื่อนกลาดในตอนนั้น


กาลเวลาล่วงเลยผ่านไป แต่โบราณสถานและโบราณวัตถุจำนวนมากยังถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี และผู้คนบางกลุ่มก็ยังอาศัยอยู่ในบ้านที่มีกำแพงล้อมรอบ


เราเดินเข้าไปใน “ศาลาประชาคม” ของหมู่บ้าน พบว่ามีโคมสีแดงแขวนอยู่ราว 4-5 โคม ที่น่าแปลกคือสิ่งที่ห้อยติดอยู่กับโคมจะมีวัตถุดิบที่ใช้ในครัวเรือนและของมงคล เช่น ส้ม หอม เห็ด ฯลฯ พร้อมเขียนชื่อที่อยู่ติดไว้ที่โคม พี่มาลี บอกว่า เมื่อใครมีลูกชายเกิดในปีที่ผ่านมา ช่วงหลังตรุษจีนจะต้องมาแขวนโคมตามธรรมเนียม พร้อมทำพิธีเซ่นไหว้เจ้าแม่ทับทิม(ทินโห่ว)เพื่อขอพรด้วย


จากบริเวณนี้เราเดินต่อไปอีกนิดจะพบว่ามีกำแพงโบราณขนาดใหญ่ตั้งขนานอยู่กับอาคารทันสมัย เราเดินเข้าไปภายในกำแพงอิฐนั้น พร้อมกับข้อมูลจากพี่มาลีที่บอกว่า อิฐทุกก้อนบริเวณบ้านที่อยู่ในกำแพงนี้ได้มาเพราะการสะสมความดีของข้าราชการในสมัยโบราณ คล้ายๆ เป็นโบนัสหรือรางวัลแห่งการทำความดีนั่นเอง


เดินเพลินอยู่ในหล่งยุกเถ่าจนเริ่มหิวข้าว แต่ก่อนจะถึงมื้อเที่ยง พี่มาลีพาเราแวะไปอธิษฐานของพรจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์กันก่อน ซึ่งต้นไม้ที่ว่าคือต้นไทรยักษ์ ที่ชาวบ้านเมืองหลัมเซิน(Lam Tsuen) จะนิยมมาโยนส้มขึ้นไปบนต้นไทรเพื่อขอพร จนกลายเป็นวัฒนธรรมแห่งการขอพรจนถึงทุกวันนี้


เรื่องของเรื่องมันเริ่มมาจากการที่ชายผู้หนึ่งที่ไปทำงานต่างเมืองนานๆ จนภรรยาที่บ้านเป็นกังวล เลยชวนสามีมาอธิษฐานที่ต้นไทร ประมาณว่า จะรักกันไปจนตาย ห้ามใครมีคนใหม่ คล้ายๆ ขวัญเรียมที่มาสาบานรักกันนั่นแหละ สุดท้ายคำอธิษฐานได้ผล ผู้คนจึงพากันมาขอพรบ้าง


พี่มาลีว่า เมื่อมีคนมาโยนส้มมากๆ ส้มก็มักจะเน่าคาคบไม้ ส่วนที่โคนต้นก็มีคนมาเหยียบย่ำมากมาย จนต้นไทรเริ่มทรุดโทรมและเกือบจะตาย รัฐบาลจึงทำรั้วกั้น พร้อมกับงดวัฒนธรรมโยนส้มที่ต้นไทรนั้น แต่ไปสร้างต้นไม้ใหม่ให้ในบริเวณไม่ไกลกัน ส่วนส้มจริงที่เคยโยนก็เปลี่ยนมาใช้ส้มพลาสติกเพื่อความสะดวก สะอาด วัฒนธรรมที่น่ารักจึงยังสานต่อได้จนถึงตอนนี้


โยนส้มกันพอเหงื่อออกก็ได้เวลาอาหารจริงๆ แล้ว มื้อกลางวันของเราเป็นเมนูฮ่องเต้เชียวนะ เรียกว่า “ผู่นชอย” (Poon Choi) เป็นภาษาจีน แปลว่า กะละมังผัก กะละมังอาหาร พี่มาลี เล่าถึงที่มาของอาหารเมนูนี้ให้ฟังว่า ในอดีตมีฮ่องเต้ออกเยี่ยมราษฎรจนมาถึงหมู่บ้านนี้ ชาวบ้านดีใจจึงพากันเอาอาหารดีๆ ที่มี ทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา หมู ไก่ ฯลฯ มาใส่รวมกันในกะละมังแล้วถวายฮ่องเต้ จนกลายเป็นอาหารมงคลตามความเชื่อ เพราะวัตถุดิบที่อยู่ในกะละมังล้วนมีความหมายแทรกอยู่ เช่น กุ้ง หมายถึง เสียงหัวเราะและความสุข ไก่ หมายถึงวินัย และยศฐาบรรดาศักดิ์ หอยนางรม คือความสิริมงคล ผัก แปลว่า โชคลาภ หมู 5 ชั้น คือ เหลือกินเหลือใช้ เป็นต้น


จะกินยังมีเรื่องราว เมื่ออิ่มท้องแล้วเราก็ไปฟังเรื่องเล่าดีๆ กันต่อ คราวนี้ตรงดิ่งเข้าสู่เขตเซ็นทรัล เพราะเรามีนัดกับไกด์ท้องถิ่นในการพาเราเดินเยี่ยมชมย่านใจกลางเมือง ซึ่งในอดีตเป็นแหล่งพำนักของข้าราชการชาวอังกฤษ แต่ปัจจุบันถือเป็นย่านฮิปสุดคูลที่ใครมาฮ่องกงแล้วขอร้องว่า อย่าพลาด
ก่อนจะเริ่มเดิน เราแวะเข้าไปที่ วัดหมั่นโหม่(Man Mo Temple) เป็นการเอาฤกษ์เอาชัย ก่อนเข้าวัดเขามีแอพพลิเคชั่นของวัดให้เราโหลด แล้วจะได้เหรียญมงคล ก็ตามประสาคนชอบความสิริมงคล จัดไปกับกิจกรรม “แอพแลกเหรียญ”


ภายในวัดเต็มไปด้วยควันธูปไม่ต่างจากวัดอื่นๆ แต่ที่มากกว่าเห็นจะเป็นเหล่าบรรดาเด็กวัยรุ่นที่พากันมาไหว้พระ เพราะวัดนี้สร้างเพื่ออุทิศแก่เทพแห่งวรรณกรรม(Man) และเทพแห่งสงคราม(Mo) นักศึกษาหรือข้าราชการจึงนิยมมาไหว้กันมาก


จากวัดเราเดินมายังจุดนัดหมายบนถนนฮอลลีวูด(เซ็นทรัล หรือที่รู้จักกันในชื่อ Cat Street) ซึ่งในอดีตตอนที่ยังไม่มีการคืนเกาะฮ่องกงให้จีน บริเวณนี้จะเป็นแหล่งซื้อขายของเก่าของโบราณจากเมืองจีน ยิ่งถ้ามีประทับตรา “Made in China” ยิ่งขายดี แต่พออังกฤษคืนเกาะฮ่องกงให้จีน พ่อค้าแม่ขายต่างกลัวว่าสินค้าประทับตราเหล่านี้จะผิดกฎหมายจีน ก็พากันเก็บของเงียบไม่เอาออกมาขาย จนเวลาผ่านไป ไม่มีความไหวติงใดๆ พวกเขาเลยมั่นใจว่าน่าจะขายได้ จึงนำวัตถุโบราณเหล่านั้นออกมาทำการค้าอีกครั้ง และก็เป็นที่นิยมไม่ต่างจากเดิม ถนนฮอลลีวูดจึงกลับมาคึกคักอีกครั้ง


ย่านนี้ถือเป็นความผสมผสานที่ลงตัว เพราะยังมีซากวัฒนธรรมเก่าบางอย่างให้เราเห็น ควบคู่ไปกับความเจริญ เราพบว่ามีร้านเก๋ๆ แกลเลอรีดีๆ กราฟิตี้ หรือเซฟเฮาส์ที่แทรกซ่อนอยู่ในตึกรามอันเก่าคร่ำแต่มีเสน่ห์ เราค่อนข้างชอบย่านนี้มาก เลยเดินเพลินจนเย็นย่ำ กว่าจะรู้ตัวอีกทีน่องก็บวมเป่งแล้ว เลยไปนั่งพักขาในอาคารดีไซน์เก่าแห่งหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันเป็นศูนย์กลางของงานออกแบบดีไซน์จากครีเอทีฟทั่วฮ่องกง


PMQ (Police Married Quarters) สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1951 สถาปัตยกรรมจึงเป็นแนวสมัยใหม่ที่นิยมกันมากในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนนี้ได้รับการปรับปรุงให้เป็นพื้นที่ขายจินตนาการ นั่นคือเป็นศูนย์กลางการออกแบบดีไซน์ โดยมีครีเอทีฟทั่วฮ่องกงมารวมตัวกันสร้างสรรค์ผลงานกว่า 100 บริษัท ทั้งงานแฟชั่น อาหาร เฟอร์นิเจอร์ ศิลปะ ซึ่งตรงลานด้านล่างมีการจัดนิทรรศการหมุนเวียนตลอดปี จึงทำให้ย่านเซ็นทรัลนี้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น


ปิดท้ายการใช้แรงงานเท้ากันที่ เกาะลัมมา (Lamma Island) สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความสวยงามของธรรมชาติ อากาศบริสุทธิ์ อาหารอร่อย ที่สำคัญมี “เต้าฮวย” รสเลิศอยู่ที่นั่นด้วย


พี่มาลี บอกว่า เกาะลัมมาอยู่ไม่ไกลมาก นั่งเรือแค่ 20-45 นาทีก็ถึง เกาะนี้มีหาดทรายที่สวยงาม รวมถึงเส้นทางเดินป่าที่น่าสนุก ซึ่งเส้นทางที่ว่าก็จะเชื่อมหมู่บ้าน 2 แห่งที่อยู่กันคนละทิศ


เราเริ่มต้นจากฝั่ง “ซกควูว่าน” (Sok Kwu Wan) แวะกินอาหารซีฟู้ดอร่อยๆ ที่ภัตตาคารเรนโบว์แล้วจึงออกเดินทาง ระยะทางราว 4 กิโลเมตรอาจดูไม่เยอะเท่าไร แต่เมื่อต้องปีนป่ายเนินสูงๆ ต่ำๆ ขึ้นไป ก็ดูเยอะอยู่เหมือนกัน


ระหว่างทางเราได้พบทั้งหมู่บ้าน อุโมงค์ตั้งแต่สมัยสงคราม มีโรงงานผลิตไฟฟ้าให้เห็นกลางทาง ก่อนจะไปพักร่างที่บริเวณชายหาด ตรงนี้แหละที่เรามีโอกาสได้กินเต้าฮวยอร่อยๆ จริงๆ มีหลายร้าน ความอร่อยน่าจะเท่ากันหมด เพราะฉะนั้นอย่าให้ระบุเลยว่าร้านไหน


จากบริเวณนี้เราเดินผ่านสุมทุมพุ่มไม้ต่อไปอีกไม่ไกลก็จะถึง “ยังซือว่าน” (Yung Shue Wan) ที่ดูผิดตาจากฝั่งซกควูว่านมาก ฝั่งนี้มีที่พัก ร้านค้า ร้านอาหาร และความบันเทิงต่างๆ มากมาย ดูคึกคักมาก


ขณะที่เราเดินผ่านสถานที่ต่างๆ ก็พบว่ามีร้านอาหารไทยอยู่หลายร้านเหมือนกัน ไม่เฉพาะร้านอาหาร แต่เรายังพบคนไทยที่อาศัยอยู่ที่นั่น เขาว่าอยู่ที่เกาะลัมมามานานกว่า 20 ปี ตอนนี้มีความสุขและสบายดี เห็นจากใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มก็พอจะรู้แล้ว


ปล่องควัน 3 ปล่องที่เกาะลัมมาเริ่มเล็กลงเรื่อยๆ เมื่อเรานั่งเรือเฟอร์รี่จากมา พี่มาลีว่า คนฮ่องกงไม่ชอบหันหน้าบ้านมาทางเกาะนี้ เพราะเหมือนมีธูป 3 ดอกปักอยู่ ดูๆ ไปก็คล้ายแบบนั้นเหมือนกัน


……………….


ในมุมที่แตกต่าง กับการเดินทางในรูปแบบที่เปลี่ยนไป เราพบว่าฮ่องกงมีอะไรที่น่าค้นหาซุกซ่อนอยู่มาก เพียงแค่เราค่อยๆ ทำความเข้าใจ ค่อยๆ ศึกษา และพิจารณารายละเอียดผ่าน “ปลายเท้า” แล้วเราจะเห็นว่า ฮ่องกงน่ารักจริงๆ


…………


การเดินทาง


ฮ่องกงเป็นประเทศท่องเที่ยวติดอันดับต้นๆ ของเอเชีย เพราะฉะนั้นเดินทางไม่มีอะไรยาก จากประเทศไทยมีสายการบินหลายแห่งให้บริการ แต่ที่แนะนำคือสายการบินสัญชาติฮ่องกงแท้ๆ อย่าง สายการบินคาเธย์แปซิฟิค ที่มีเที่ยวบินให้บริการ กรุงเทพฯ-ฮ่องกง ทุกวัน ดูรายละเอียดและตารางการบินได้ที่ www.cathaypacific.com


ส่วนการเดินทางภายในฮ่องกงแทบไม่ต่างอะไรกับเมืองไทย จริงๆ จะบอกว่า สะดวกกว่าด้วยซ้ำ เพราะมีระบบการขนส่งมวลชนที่เชื่อมต่อไปทั่วเกาะ โดยเฉพาะรถไฟใต้ดิน MTRที่แยกสายด้วยสีต่างๆ จะไปแหล่งท่องเที่ยวหลักๆ ได้หมด หรือจะเป็นรถราง บริการขนส่งมวลชนรุ่นเก่า ก็ดูเข้าทีและประหยัดดี นอกจากนี้ก็ยังมีรถบัส เรือเฟอร์รี่ รถแท็กซี่ แอร์พอร์ตเอ็กซ์เพรส เรียกว่าเร็วและสบายมากทีเดียว


นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลต่างๆ ได้ที่เว็บไซต์ของการท่องเที่ยวฮ่องกง www.discoveryhongkong.com