Daily Market Outlook (22 ก.พ.60)

Daily Market Outlook (22 ก.พ.60)

แนวโน้มเศรษฐกิจโลกดูดีขึ้นอีก

คาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้นตามหุ้นสหรัฐที่ 3 ดัชนีหลักยังคงทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องจากผลประกอบการ บจ.สหรัฐที่ออกมาแข็งแกร่ง กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอีกจากยุโรปและญี่ปุ่น รวมทั้งมุมมองบวกต่อนโยบายเศรษฐกิจของ Trump อย่างไรก็ตาม การปรับตัวดีขึ้นของตลาดน่าจะถูกจำกัดโดยมุมมองการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ Fed หลายราย และความไม่แน่นอนทางการเมืองในยุโรป ปัจจัยภายในประเทศวันนี้ไม่น่ามีผลต่อตลาดมากนัก รัฐบาลเตรียมเงินกู้ 1 หมื่นล้านบาทเพื่อช่วยเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยจากนายทุนเงินกู้นอกระบบ ครม.อนุมัติ พรบ.การบินพลเรือนใหม่ที่เป็นไปตามข้อกำหนดของ ICAO

หุ้นเด่นวันนี้: SCC (ราคาปิด 516.00 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมาย AWS 638.00 บาท)

เราเลือกบมจ. ปูนซีเมนต์ไทย เป็นหุ้นเด่นในวันนี้ด้วย Sentiment กิจกรรมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่มีความชัดเจนและความคืบหน้าอย่างมากที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะในภาคการขนส่ง ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการใช้ปูนซิเมนต์รวมไปถึงวัสดุก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกลับมาฟื้นตัวและขยายตัวอีกครั้ง นอกจากนี้แล้วยังมีโอกาสการเติบโตในระยะยาวจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ในประเทศเพื่อนบ้าน CLMV ที่สาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ยังถือว่าขาดแคลนเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ขณะที่เรายังคงเห็นถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟืนส์อย่างต่อเนื่องท่ามกลางภาวะวงจรขาขึ้นของอุตสาหกรรม ซึ่งมองว่าจะยาวนานต่อเนื่องไปอย่างน้อยอีก 2-3 ปีข้างหน้า จากภาวะสมดุลของอุปสงค์และอุปทานในภูมิภาค หนุนให้กำไรสุทธิของ SCC ยืนอยู่ในระดับแข็งแกร่ง ราคาขายผลิตภัณฑ์โพลีโอเลฟินส์กำลังปรับตัวสูงขึ้นได้เป็นอย่างดีตามหลังราคาต้นทุนแนฟทา (น้ำมันดิบ) ที่ปรับตัวสูงขึ้นไปก่อนหน้านี้ SCC ล่าสุดรายงานกำไรสุทธิปี 2559 ทำระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์รายปีอยู่ที่ 5.61 หมื่นลบ. (+24% YoY) และคาดกำไรปกติจะเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องได้อีก 4% ในปีนี้ก่อนที่จะเร่งตัวขึ้นเต็มที่ในปี 2561 ไปเป็น 6.13 หมื่นลบ. (+10% YoY) จากการฟื้นตัวอย่างเต็มที่ของธุรกิจปูนซิเมนต์และวัสดุก่อสร้าง ราคาหุ้น SCC ปัจจุบันยังมีความน่าสนใจ โดยปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ PER ปีนี้ที่เพียง 11.1 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตย้อนหลัง 5 ปีและ 10 ปีที่ 15.5 เท่าและ 13.3 เท่า ตามลำดับ นอกจากนี้ยังให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจอีกราว 4.0% SCC เพิ่งประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการงวด 2H59 ในอัตรา 10.5 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสำหรับงวดครึ่งปีน่าสนใจอยู่ที่ระดับ 2.0% (4.1% เทียบรายปี) โดยมีกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 4 เม.ย. ในส่วนของ Price Pattern ของ SCC ยังคงมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, & Monthly Buy Signal และเมื่อพิจารณา Price Pattern ของ SCC ยังบ่งบอกถึงการทำ New High อีกด้วย โดยมีเป้าหมายแรกเพื่อทดสอบ High เดิมที่ 548 บาท และมีเป้าหมายแรกของการทำ New High อยู่ที่ 586 บาท ตามลำดับ ทั้งนี้ SCC มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 504 บาท (แนวต้าน: 518.00, 522.00, 524.00; แนวรับ: 514.00, 512.00, 508.00)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• ให้ ธ.ออมสินและ ธกส. ปล่อยเงินกู้ฉุกเฉิน 1 หมื่น ลบ. ครม. เห็นชอบให้ ธ.ออมสินและ ธ.เพื่อการเกษตรฯ ปล่อยกู้แก่เกษตรกรรายย่อยและผู้มีรายได้น้อยอย่างละ 5 พัน ลบ. เพื่อช่วยลูกหนี้ 1 ล้านรายและเพื่อแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ (Bangkok Post)

• ครม. เห็นชอบกฎหมายการบินใหม่ วานนี้ ซึ่งเป็นการแก้ไขให้สอดคล้องกับมาตรฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) เพื่อแก้ปัญหาถูกติดธงแดง โดยได้แก้กฎหมายการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 และยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 พ.ศ. 2515. (สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์)

• AOT ตกลงในค่าเช่ารูปแบบใหม่กรมธนารักษ์บรรลุข้อตกลงร่วมกับ AOT ในการคิดค่าเช่าที่ดินในสนามบินสุวรรณภูมิ โดยจะแบ่งออกเป็นสองส่วน ได้แก่ส่วนที่เป็นพื้นที่การบิน จะเก็บค่าเช่า 5% ของรายได้ ขณะที่ส่วนที่เป็นพื้นที่ที่ไม่ใช่การบินที่ใช้ในเชิงพาณิชย์จะเก็บในรูปแบบของผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) ทั้งนี้รูปแบบเก่าจะเป้นการเก็บค่าเช้า 5% ของรายได้ทั้งหมด (Bangkok Post)

• แผนหาพันธมิตร 4G ของทีโอทีส่อล่มกสทช. กล่าวว่าแผนหาพันธมิตร 4G ของทีโอทีบนคลื่น 2.3 GHz ถูกระงับเมื่อวานนี้เมื่อคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ปฏิเสธแผนของทีโอทีเพราะอาจขัดกับมาตรา 46 ของกฎหมายจัดสรรคลื่นความถี่ซึ่งให้ผู้ถือใบอนุญาตต้องใช้คลื่นด้วยตนเองเท่านั้น (The Nation)ความเห็น: น่าจะเป็นแรงกดดันต่อหุ้นมือถือวันนี้โดยเฉพาะ DTAC (43.50 บาท, ขาย, ราคาเป้าหมาย AWS ปี 17 31.00 บาท) ซึ่งต้องการคลื่นมาเพิ่มมากที่สุด อย่างไรก็ดี เรื่องนี้น่าจะยังไม่สิ้นสุดและทีโอทียังมีโอกาสชี้แจงเพิ่มเติม แม้สุดท้ายแล้วแผนพันธมิตรนี้ต้องล้มไป แต่ก็ยังมีคลื่นอีกจำนวนหนึ่งที่เข้าคิวรอประมูลในอนาคต

• TSE(5.60 บ. ซื้อ ราคาเป้าหมาย AWS 6.10 บ.) จับมือกับ STEC ในการเข้าซื้อหุ้นสัดส่วน 60% และ 40% ตามลำดับในหุ้นทั้ง 100% ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น ขนาดกำลังการผลิต 155 เมกะวัตต์ซึ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นการพัฒนาโครงการและคาดจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2564 มูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 1.97 หมื่นลบ. (SET) ความเห็น: การลงทุนใหม่ดังกล่าวถือว่าอยู่ในความคาดหมายและประมาณการของเราส่วนหนึ่งแล้วว่า TSE จะสามารถเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นเพิ่มอีกราว 60 เมกะวัตต์ บนสมมติฐานว่าจะผลิตไฟฟ้าได้ในช่วงปี 2562-63 กำลังการผลิตไฟฟ้าในส่วนของ TSE ที่ 93 เมกะวัตต์ตามสัดส่วนการถือหุ้นที่เข้าซื้อมากกว่าคาดแต่ด้วยค่าใช้จ่ายลงทุนต่อเมกะวัตต์ที่ค่อนข้างสูงที่ 127 ลบ. อาจนำไปสู่การปรับขึ้นราคาเป้าหมายของเราได้ระดับหนึ่ง ซึ่งจะนำเสนอในลำดับต่อไป เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ สำหรับ TSE

• TU(19.60 บาท) รายงานกำไรสุทธิปี 2559 เท่ากับ 5.25 พันล้านบาท ลดลง 0.9%YoY และประกาศปันผลระหว่างกาล 0.31 บาท XD6 มี.ค.2559(SET)ความเห็น: แม้กำไรสุทธิในไตรมาส 4/59 จะออกมาไม่ค่อยสดใส ที่ 902 ล้านบาท +19%YoY แต่ -43%QoQ แต่หากหักรายการพิเศษที่เกิดครั้งเดียวออกไป โดยบวกกลับขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน 181 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายการหยุดดำเนินงานของกองเรือจับปลาชั่วคราว 272 ล้านบาทออกไป ยังมีกำไรได้ 1.4 พันล้านบาท สอดคล้องกับประมาณการของเรา ส่วนดีของ TU คือ มีการรับรู้กำไรครั้งแรกจาก Red Lobster เข้ามา 70 ล้านบาท สัดส่วน 7.7% ของกำไรสุทธิไตรมาส 4/59 เพิ่งดีลเข้ามาในเดือน ตุลาคม 2559 ส่วนเสียคือ GPM อ่อนแอจากราคาปลาทูน่าที่เพิ่มขึ้น เราแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 25 บาท อิงค่า PER20 เท่า สำหรับปี 2560

• SPALI(24.50 บาท) รายงานกำไรสุทธิ 4.9 พันล้านบาท หรือ 2.85 บาทต่อหุ้น เพิ่ม 12%YoY สอดคล้องกับที่คาด 5.0 พันล้านบาท หรือ 2.90 บาทต่อหุ้น ประกาศปันผล 0.55 บาท XD 3 มี.ค.60(SET)ความเห็น: ยังคาดกำไรสุทธิปี 2560 เพิ่มขึ้น 12% เป็น 5.5 พันล้านบาท หรือ 3.2 บาทต่อหุ้น แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 32บาท อิงค่า PER 10 เท่า

ต่างประเทศ:

• เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดหลายรายส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว ๆ นี้ นางลอเร็ตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ออกมาให้ความเห็นเมื่อวันจันทร์ว่าเธอสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากเศรษฐกิจยังคงมีการขยายตัวได้ดีอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ส่วนนายแพทริค ฮาร์เกอร์ ประธานเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียกล่าวว่าจะมีการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. และในสัปดาห์นี้จะมีความเห็นจากนายเจอโรม พาวเวลล์ หนึ่งในคณะกรรมการเฟด นายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานเฟดสาขาแอตแลนต้า และนายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานเฟดสาขาดัลลัส นอกจากนี้ มีข้อมูลจาก CME Group’s Fedwatchเมื่อวันอังคารระบุว่าเทรดเดอร์มองว่ามีโอกาส 22.1% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. (Reuters)

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวขึ้นท่ามกลางการปรับตัวขึ้น ๆ ลง ๆ เมื่อวันอังคาร โดยมีแรงหนุนจากความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้นเนื่องจากตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้น ราคาพันธบัตรอายุ 10 ปีล่าสุดปรับตัวลง 2/32 อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 2.432% จาก 2.425% เมื่อวันศุกร์ (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ เมื่อวันอังคาร และแข็งค่ามากที่สุดเทียบกับเงินยูโรในรอบกว่า 1 เดือนหลังจากมีความเห็นจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดหลายรายเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองในยุโรปเป็นปัจจัยหนุนดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน เงินยูโรปปิดอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 1 วันเทียบกับดอลลาร์สหรัฐนับตั้งแต่วันที่ 18 ม.ค. เมื่อเทียบกับเงินกับเงินเยน ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า 0.5% อยู่ที่ระดับ 113.64 เยน ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบ 1 วันเทียบกับเงินเยนในช่วง 12 วัน (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดใหม่เมื่อวันอังคาร โดยได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของ วอล-มาร์ทและโฮม ดีโปท์ ขณะที่นักลงทุนยังมองในแง่ดีเกี่ยวกับวาระทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์ (Reuters)

• ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 4/59 ออกมาดีเกินคาด กำไรรวมของบริษัทที่อยู่ใน S&P500 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 7.5% ในไตรมาส 4/59 จากรายงานของ Thomson Reuters I/B/E/S เมื่อวันศุกร์ ดัชนี S&P500 ปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ค่าพีอีล่วงหน้า 12 เดือนที่ 17.8 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าพีอีเฉลี่ยระยะยาวที่ 15 เท่า จากข้อมูลของ Thomson Reuters Datastream (Reuters)

• ภาคเอกชนสหรัฐเติบโตชะลอตัวจากที่ระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือนเมื่อเดือนม.ค. ดัชนี PMI ของมาร์กิตอยู่ที่ระดับ 54.3 ในเดือนก.พ. ปรับตัวลงจากที่ระดับ 55.8 ในเดือนม.ค. แต่ยังคงอยู่เหนือระดับที่ 50.0 ติดต่อกัน 12 เดือน ซึ่งเป็นสัญญาณว่าการเติบโตของผลผลิตจากภาคเอกชนลดลงจากที่ระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือนเมื่อเดือนม.ค. การเติบโตของกิจกรรมทางธุรกิจที่อ่อนตัวลงส่วนใหญ่เกิดจากกิจกรรมภาคบริการที่ชะลอตัว โดยดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นของมาร์กิตอยู่ที่ 53.9 ลดลงจากที่ระดับ 55.6 ในเดือนม.ค. นอกจากนี้ ภาคการผลิตยังคงขยายตัวต่ออย่างแข็งแกร่ง โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตของมาร์กิตอยู่ที่ระดับ 55.7 ลดลงเล็กน้อยจากที่ระดับ 56.7 ในเดือนม.ค. (IHS Markit)

ยุโรป:

• ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันอังคารปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือนหนุนจากข้อมูลตัวเลขภาคการผลิตที่ประกาศออกมาแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามหุ้น HSBC ปรับตัวลดลงหลังประกาศผลการดำเนินงานออกมาหดตัวลง (Reuters)

• Markitรายงานดัชนี PMI รวมยูโรโซนเดือนก.พ. ออกมาแข็งแกร่ง อยู่ที่ระดับ 56.0 สูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2554 และสูงขึ้นจาก 54.4 ในเดือนม.ค. ก่อนหน้า โดยเป็นการขยายตัวจากทั้งภาคการผลิตและภาคบริการเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ต้นปี 2554 นำโดยกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตสินค้าที่เติบโตมากที่สุด (IHS Markit)

เอเชีย:

• การเจริญเติบโตของภาคการผลิตของญี่ปุ่นเร่งตัวขึ้นในเดือน ก.พ.: PMI ภาคการผลิตของ Nikkei Flash Japan สูงสุดในรอบ35 เดือน มาอยู่ที่ 53.5 ในเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้นจาก 52.7 ในเดือนมกราคม เป็นการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในผลผลิตและธุรกิจใหม่และการจ้างงาน (IHS Markit)

• หุ้นจีนขึ้นต่อในวันอังคารมาปิดที่ใกล้ระดับสูงสุดในรอบสามเดือนตามความคาดหวังสำหรับเงินไหลเข้าขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นจากกองทุนบำเหน็จบำนาญ(Reuters)

• จีนตรวจพบเชื้อไวรัสไข้หวัดนก H7N9 ที่รุนแรงของโรคในสัตว์ปีกและซึ่งต้องดูแลอย่างใกล้ชิดโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) รวมผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็น 304 ราย ได้รับรายงานในจีนแผ่นดินใหญ่ระหว่าง 19 มกราคมถึง14 กุมภาพันธ์ และมีผู้เสียชีวิต 36 ราย (Reuters)

• จีนคาดหวังว่าช่วงก่อนและหลังการเปลี่ยนอำนาจพรรคคองเกรสจะราบรื่นในฤดูใบไม้ร่วงนี้: จีนจะต้องรักษาเสถียรภาพการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและความสามัคคีในปีนี้เพื่อให้แน่ใจว่าปีที่ 19 ของพรรคคองเกรสจะคงอยู่ในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ โดยจะเห็นประธานาธิบดีสีจิ้นผิงจะจัดการขั้วอำนาจของเขาอย่างไร (Reuters)

• ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เห็นการติดตั้งระบบอาวุธในทะเลจีนใต้ของจีนเป็นไปอย่าง "ไม่สงบ" และมีการเรียกร้องให้การเจรจาเพื่อหยุดการเพิ่มของ "การพัฒนาล่าสุด" เป็นคำกล่าวของฟิลิปปินส์ในวันอังคารที่ผ่านมา ยังมีความกังวลสำหรับสงครามของจีนสำหรับเกาะเทียมที่สร้างขึ้น แต่ยังมั่นใจกรอบจรรยาบรรณทางทะเลในเดือนมิถุนายน(Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• น้ำมันดิบบวกราว 1% สู่จุดสูงสุดรอบ 3 สัปดาห์วันอังคาร เพราะ OPEC ยืนยันที่จะลดกำลังผลิตอย่างเหนียวแน่นและหวังว่าความร่วมมือกันจะยิ่งสูงขึ้นเมื่อผู้ผลิตน้ำมันอื่นมาร่วมแก้ปัญหาน้ำมันล้นด้วย น้ำมันดิบ Brent ล่วงหน้า บวก 48 เซนต์ (+0.9%) ปิด 55.66 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังแตะจุดสูงสุดตั้งแต่ 2 ก.พ. ที่ 57.31 ดอลลาร์สหรัฐ น้ำมันดิบสหรัฐ มี.ค. ที่สัญญาหมดอายุบวก 66 เซนต์ (+1.2%) ปิด 54.06 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล บาร์เรล หลังแตะจุดสูงสุดตั้งแต่ 3 ม.ค. ที่ 54.68 ดอลลาร์สหรัฐ (Reuters)

• ราคาทองคำร่วงวันอังคาร กดดันจากความคาดหวังว่าจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนหน้าเลยจะทำให้ดอลลาร์แข็งค่าแม้จะมีความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจในยุโรปและสหรัฐหนุนทองคำอยู่ ราคาทองคำตลาดจรลบ 0.3% ที่ 1,233.79 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่ถือว่าบวกมากว่า 6% แล้วตั้งแต่ต้นปี ทองล่วงหน้าลบ 0.3% ปิด 1,235.2 ดอลลาร์สหรัฐ (Reuters)