รวบหนุ่มสาวกระชากกระเป๋านทท.จีน อ้างไม่มีเงินใช้

รวบหนุ่มสาวกระชากกระเป๋านทท.จีน อ้างไม่มีเงินใช้

รวบหนุ่มสาวกระชากกระเป๋านทท.จีน อุกอาจต่อหน้ากล้องวงจรปิด ตรงข้าม บ.การบินไทย อ้างไม่มีเงินใช้ไม่มีงาน เพิ่งพ้นโทษ

ที่บริเวณถนนพระปกเกล้า หน้าบริษัทการบินไทย ต.พระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ได้มีการปิดถนนในบริเวณดังกล่าวเพื่อ ทำแผนประกอบคำรับสารภาพในที่เกิดเหตุ หลังจากที่ได้มีการจับกุมตัว 2 คนร้ายวัยรุ่นที่ได้มีการก่อเหตุกระชากกระเป๋านักท่องเที่ยวสาวชาวจีน ได้ทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมาก เมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา ทราบชื่อคนร้ายคือ นายณัฐพงศ์ ไชยเทพ อายุ 24 ปี บ้านเลขที่ 118/3 ถ.ประชาสัมพันธ์ ต.ช้างคลานอ.เมือง จ.เชียงใหม่ และ น.ส.นพรัตน์ ชะเอม อายุ 21 ปี บ้านเลขที่ 56 หมู่ 3 ต.สันทรายหลวง อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ โดยมีพล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผบช.ภ.5 ร่วมกับ พล.ต.ต.พิทยา ศิริรักษ์ รองผบช.ภ.5,พล.ต.ต.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ และพ.ต.อ.อภิวัชร์ ไชยศรีสุทธิ์ ผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสภ.เมืองเชียงใหม่ ร่วมควบคุมการทำแผนประกอบคำรับสารภาพและแถลงข่าวการจับกุมครั้งนี้

พ.ต.อ.อภิวัชร์ ไชยศรีสุทธิ์ ผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 14 ก.พ. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เมืองเชียงใหม่ ได้รับแจ้งความจากนักท่องเที่ยวสาวชาวจีน ทราบชื่อว่า Ms.Gao Ke ผู้เสียหายว่า เมื่อวันเดียวกันนี้ ประมาณ 22.10น.ตนและเพื่อนสาวชาวจีนอีก 1 คน ได้ออกจากที่พักคือโรงแรม SLEEP GUESTHOUSE แล้วเดินมาตามถนนมูล เมือง ซ.7 ผ่านถนนราชภาคินัย เดินตรงเข้าไปในซอยถนนพระปกเกล้าจนถึงบริเวณหน้าบริษัทการบินไทย ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ โดยผู้เสียหายสะพายกระเป๋าสีน้ำเงินทางด้านขวา ขณะนั้นได้มีคนร้าย จำนวน 2 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่ทราบทะเบียน มาทางด้านหลังของผู้เสียหาย จากนั้นได้มีคนร้ายเป็นชายลงจากรถจักรยานยนต์เข้ามาคว้าเอากระเป๋าสะพายดังกล่าวของผู้เสียหาย จากนั้นวิ่งไปซ้อนรถจักรยานยนต์โดยมีคนร้ายเป็นหญิงขับขี่ แล้วพากันหลบหนีไปโดยภายในกระเป๋ามีทรัพย์สินดังนี้ 1.โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อไอโฟน 7 พลัส สีดำ จำนวน 1 เครื่อง , บัตรเครดิตการ์ด จำนวน 2 ใบ ผู้เสียหายจึงได้แจ้งความ ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อติดตามเอาทรัพย์สินคืนและประสงค์ดำเนินคดีกับคนร้าย

หลังจากรับทราบข้อมูลแล้วเจทางเจ้าหน้าที่จึงได้เร่ง ได้ออกสืบสวนติดตามคนร้ายที่ก่อเหตุและ ทรัพย์สินที่ถูกประทุษร้ายในคดีนี้อย่างต่อเนื่อง โดยจากการตรวจสอบรายละเอียดจากกล้องวีดิโอวงจรปิดของเทศบาลนครเชียงใหม่,เอกชน,สถานที่เกิดเหตุและในบริเวณใกล้เคียง โดยเฉพาะกล้องวงจรปิดที่ตั้งอยู่ตรงข้ามบริษัทการบินไทย ซึ่งสามารถบันทึกภาพขณะเกิดเหตุได้อย่างชัดเจน จนกระทั่งทราบตำหนิรูปพรรณของคนร้ายเป็นชายวัยรุ่นผมรองทรงสั้น รูปร่างสันทัด สวมเสื้อคลุมแขนยาวสีแดง-ขาว-กรมท่า มีสัญลักษณ์ที่หน้าอก สวมกางเกงขายาว ส่วนหญิงวัยรุ่นรูปร่างสันทัด สวมเสื้อแขนยาวสีขาว สวมกางเกงขาสั้นสีเข้ม มีแถบสีชมพูด้านข้าง ขับขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า สกู๊ปปี้ ไอ สีเข้ม มีสติกเกอร์ติดบังลมหน้าหลายดวง

จากนั้นได้ขยายผลจากกล้องวงจรปิดพบว่าคนร้ายหลังจากเข้ามาก่อเหตุในบริเวณที่เกิดเหตุ แล้วหลบหนีไปผ่านแจ่งหัวลินด้านใน , ผ่านประตูเชียงใหม่ด้านใน , ยูเทิร์นเข้าสู่ถนนบุญเรืองฤทธิ์ , เลี้ยวซ้ายผ่านโรงบาลมหาราชนครเชียงใหม่, เลี้ยวซ้ายแยก โรงพยาบาลประสาท เพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยคนร้ายผู้ชายถอดเสื้อคลุมสีขาว-แดง-กรมท่า ออกหลังจากนั้นไม่นานได้ขับ ขี่รถจักรยานกลับมาแล้วมุ่งไปตามถนนสุเทพ , ผ่านแยกกองบิน 41 แล้วหลบหนีไป เจ้าพนักงานตำรวจจึงได้รวบรวม พยานหลักฐานขออนุมัติศาลจังหวัดเชียงใหม่ ออกหมายจับคนร้ายซึ่งมีตำหนิรูปพรรณตามรายงานการสืบสวน

จนกระทั่งวันที่ 21 ก.พ. 2560 เวลาประมาณ 19.00 น. สืบทราบว่านายณัฐพงศ์ ไชยเทพ และ น.ส.นพรัตน์ ชะเอม หลบซ่อนตัวอยู่ที่ย่านชุมชนหลังวัดหัวฝาย ต.ช้างคลาน อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ จึงได้นำกำลังไปดักซุ่ม ได้พบ บุคคลต้องสงสัยเป็นชายหญิงมีลักษณะคล้ายกับบุคคลตามหมายจับ ที่บริเวณแยกประชาสัมพันธ์ จนกระทั่งสามรถควบคุมตัวไว้ได้ โดยจากการสอบปากคำผู้ต้องหา คือนายณัฐพงศ์ ได้รับสารภาพว่าได้ ร่วมกับ น.ส.นพรัตน์ ไปวิ่งราวทรัพย์ผู้เสียหายจริง โดยได้ติดตามผู้เสียหายมาระยะหนึ่งตั้งแต่ผู้เสียหายเดินออกจากโรงแรม โดยสังเกตว่าเป็นชาวต่างชาติสะพายกระเป๋าด้านข้างน่าจะฉกชิงได้ไม่ยาก จึงตัดสินใจก่อเหตุ และขณะที่ก่อเหตุก็เห็นว่ามีกล้องวงจรปิดอยู่ในบริเวณนั้น แต่ด้วยอารมณ์หน้ามืดร้อนเงิน จึงได้ก่อเหตุโดยไม่คิดว่าเจ้าหน้าที่จะติดตามตัวได้เพราะปิดบังใบหน้าด้วยหมวกนิรภัยแล้ว

อย่างไรก็ตาม สำหรับนายณัฐพงศ์ ได้เคยต้องโทษคดีวิ่งราวทรัพย์มาแล้ว และถูกจำคุกที่เรือนจำกลางเชียงใหม่เป็นเวลา 5 ปี ก่อนจะถูกปล่อยตัวเมื่อช่วงเดือน มกราคม ที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อพ้นโทษก็ไม่มีงานทำ และไม่มีความรู้ ประกอบกับได้มามีสัมพันธ์กับน.ส.นพรัตน์ ซึ่งจบการศึกษาเพียงระดับชั้นมัธยมต้นด้วยกันทั้งคู่ กระทั่งทะเลาะกับทางบ้านจึงได้ออกมาเช่าหอพักอยู่ด้วยกัน จนกระทั่งไม่มีเงินใช้จึงได้ตกลงกันว่าจะออกมาวิ่งราวทรัพย์เพื่อไปใช้จ่ายค่าอาหารและที่พักดังกล่าว ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่จึงได้มีการนำตัวมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพในที่เกิดเหตุทุกขั้นตอนดังกล่าว ก่อนที่จะส่งตัวดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป