“เจแอนด์เจ” รักษาคำมั่น ปั้นธุรกิจร้อยล้าน

“เจแอนด์เจ” รักษาคำมั่น ปั้นธุรกิจร้อยล้าน

จากธุรกิจตึกแถว 2 ห้องขยับเป็นอาณาจักรรับฝากสินค้าและบริหารจัดการกว่าแสนตร.ม.นี่คือ“เจแอนด์เจ”ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จด้วยคำว่า รักษาคำพูด

“เจแอนด์เจ” คือธุรกิจสายพันธุ์ไทย ที่ให้บริการเช่าคลังสินค้าแบบครบวงจร  รับบริหารจัดการคลังสินค้า  ตั้งแต่ตรวจสอบคุณภาพ ทำรายการ บรรจุหีบห่อ และบริการขนส่งทั้งในและต่างประเทศ  มีพื้นที่รับฝากสินค้าและบริหารจัดการรวม 107,000 ตร.ม. พนักงานกว่า 650 คน อยู่ในอยุธยา ปราจีนบุรี ลาดกระบัง(กรุงเทพ) และแหลมฉบัง (ชลบุรี)

ขยับจากธุรกิจตึกแถวขนาด 2 ห้อง ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2537 มาเป็นอาณาจักรธุรกิจที่มี 5 บริษัทในเครือ มีลูกค้าในมือนับ 50-60 ราย ซึ่งล้วนเป็นบริษัทขนาดใหญ่และเกือบ 100% คือ “ญี่ปุ่น”

ความยิ่งใหญ่ที่เห็นเกิดจากชายคนหนึ่งผู้ไม่ได้มีพื้นฐานมาจากนักธุรกิจ ไม่ใช่ลูกหลานไฮโซ ไม่ได้มีเงินถุงเงินถัง เขาคือ “สุจินต์ ทรัพย์ล้อม” อดีตข้าราชการครู ที่เริ่มธุรกิจนี้กับภรรยา “บุษบา ทรัพย์ล้อม” อดีตนักวางระบบโรงงานและคุมคนงานจาก มินีแบไทย พวกเขาเริ่มธุรกิจ จากการรับทำฝ้า เพดาน งานกระจกและงานเหล็ก เมื่อปี 2537 ก่อนเห็นโอกาสจากธุรกิจให้เช่าคลังสินค้า จึงมาเปิด หจก.เจแอนด์เจ แวร์ เฮ้าส์ แอนด์ เซอร์วิส ขึ้นในปี 2544 จากนั้นกิจการก็โตมาเรื่อยๆ

“เราเริ่มต้นกันมาจากศูนย์ ไม่มีอะไรมาเลย กู้แบงก์มาเรื่อยๆ มีเงินทุนที่เป็นกำไรจากการทำธุรกิจก็เอามาทบมาทำ ไป โดยไม่ใช้เงินผิดประเภท ได้กำไรถึงค่อยขยายต่อ และเติบโตมาเรื่อยๆ” คุณครูผู้ประกอบการบอกถึงจุดเริ่มต้น

ความน่าสนใจของเจแอนด์เจ คือการที่สามารถพิชิตใจลูกค้าบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความยาก และหิน แถมยังชาตินิยมสุดๆ แต่กลับมาเลือกใช้พวกเขา ซึ่งเป็นธุรกิจสัญชาติไทยแท้ และไม่ใช่ยักษ์ใหญ่ที่ไหน

ส่วนหนึ่งต้องยกความดีให้ บุษบา ซึ่งเคยทำงานในบริษัทญี่ปุ่น ทำให้เข้าใจและคุ้นเคยวิธีการทำงานกับคนญี่ปุ่น  ตลอดจนวัฒนธรรมและความต้องการของคนญี่ปุ่น ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับธุรกิจได้

“เรารู้ว่าสไตล์ของคนญี่ปุ่นเป็นอย่างไร เขาต้องการแบบไหน ก็ตอบสนองในสิ่งที่เขาต้องการให้ได้ และ ‘รักษาคำพูด’ เพราะคนญี่ปุ่นเขาถือว่า คุยกันตั้งแต่ตอนแรก คุยแล้วจบ แล้วรักษาคำมั่นคำสัญญาที่รับปากเอาไว้ และทำให้ได้ รวมถึงต้องมีความจริงใจและซื่อสัตย์ ซึ่งถ้าทำได้ก็ซื้อใจเขาได้”

นอกจากมีสูตรมัดใจด้วยคำมั่น พวกเขาบอกว่า ธุรกิจก็ต้องพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องด้วย โดยแม้จะเริ่มจากการเป็นครู ไม่รู้เรื่องธุรกิจ แต่พวกเขาก็เลือกทำงานแบบ “โปร่งใส” มาตั้งแต่ยังเป็นกิจการตึกแถวด้วยซ้ำ

“อย่างเรื่องระบบเอกสาร และบัญชีต่างๆ เราทำเป็นมาตรฐานมาตั้งแต่สมัยยังอยู่ตึกแถวด้วยซ้ำ คือทุกอย่างต้องเป๊ะ มีการทำงานที่เป็นระบบและตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน  แม้แต่พนักงานออฟฟิศที่เข้ามาใหม่ก็ไม่ต้องไปสอนงาน แค่เปิดแฟ้มอ่านดูก็รู้ว่าหน้าที่เขาต้องทำอะไรบ้าง และงานในแต่ละจุดต้องทำอย่างไร สิ่งเหล่านี้เป็นชื่อเสียงขององค์กรเราที่ส่งไปถึงลูกค้า”

การทำงานเป็นระบบระเบียบ เป๊ะเนี้ยบทุกขั้นตอน ต้องยกความดีให้อดีตอาจารย์อย่าง สุจินต์ เขาบอกว่า ระบบหลายอย่างที่วางไว้แม้แต่ลูกค้าญี่ปุ่นเองก็ยังคิดไม่ถึงว่าคนไทยจะทำได้ขนาดนี้ เรียกว่า เกินความคาดหวังของลูกค้า

ในส่วนธุรกิจ ก็พัฒนาไม่หยุดยิ่ง อย่างการทำคลังสินค้าที่ได้มาตรฐาน GMP ชนิดที่สามารถเก็บอาหารและเครื่องมือแพทย์ได้ มีพื้นที่ให้ลูกค้าประกอบสินค้าในบางขั้นตอนได้ เพื่อช่วยลดต้นทุนค่าแรง ค่าขนส่ง และประหยัดเวลาในการผลิต

เจ้าอื่นอาจทำแค่ยื่นกุญแจให้ลูกค้าแล้วจบ แต่กับเจแอนด์เจ พวกเขาพร้อมดูแลทุกความไม่สบายใจของลูกค้า เช่น ทำระบบรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน มี รปภ.ของบริษัทคอยดูแลอย่างใกล้ชิด มีระบบ CCTV 24 ชั่วโมง  มีประกันภัยป้องกันความเสี่ยง รถขนส่งสินค้า ก็ติดตั้งโปรแกรมตรวจสอบสถานะเชื่อมกับ GPS ที่ตัวรถ เพื่อติดตามและควบคุมเส้นทางเดินรถ สามารถตรวจสอบได้ว่าสินค้าไปกับรถคันไหน  เพื่อป้องกันการสูญหายระหว่างทาง  ตรวจสอบสารเสพติดพนักงานขับรถอย่างเข้มข้น และวางขั้นตอนการทำงานชัดเจน  ที่สำคัญมีแผนฉุกเฉินให้พนักงานปฏิบัติได้อย่างทันท่วงทีอีกด้วย

“การลงทุนในธุรกิจนี้ คิดว่าใครๆ ก็ลงทุนได้ เพราะเขามีเงินกว่าเราเยอะ แต่แนวคิดเราคือ การบริการที่ใกล้ชิดกับลูกค้า และเราเอาใจใส่อย่างเต็มร้อย ในทุกขั้น ทุกตอน และทุกจุด มองว่าตรงนี้เองที่ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่น” พวกเขาบอกจุดแข็ง

หัวใจของงานบริการ มาจาก “พนักงานในองค์กร” เขาบอกว่า ที่เจแอนด์เจ ให้ความสำคัญกับคนทำงาน อยู่กันแบบครอบครัว และปกครองกันเหมือนครูที่ห่วงใยลูกศิษย์ มีกิจกรรมมากมายที่ทำให้พนักงานมีความสุข โดยเชื่อว่าถ้าพนักงานมีความสุข องค์กรก็จะดีไปด้วย

“ผมพร่ำสอนพนักงานเสมอว่า ขอให้มีความซื่อสัตย์ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่ใช่มาทำงานเรื่อยเปื่อย แต่ต้องเคารพหน้าที่ของตัวเอง ทุกคนต้องมีความรับผิดชอบ และซื่อสัตย์ในหน้าที่ของตัวเอง ไม่อย่างนั้นบริษัทก็จะอยู่ไม่ได้ ผมให้นโยบายว่า บริษัทกับพนักงานจะต้องโตไปด้วยกัน เราจะดูแลให้เขาโตไปพร้อมกัน”

ในวันนี้ลูกชายคนโต “พัชรบูล ทรัพย์ล้อม” ที่จบโลจิสติกส์จากญี่ปุ่นเข้ามาช่วยสานต่อธุรกิจ สามารถขยับขยายกิจการจนเติบใหญ่และมีลูกค้าหลายกลุ่มขึ้น ไม่เพียงกลุ่มอุตสาหกรรมหนัก แม้แต่กลุ่มอาหาร และเครื่องสำอาง ก็มาเป็นลูกค้าของพวกเขาด้วย ขณะที่ลูกชายคนเล็ก “พัชรกานต์ ทรัพย์ล้อม” ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษาด้านภาษาอังกฤษธุรกิจ ที่เอแบค ก็พร้อมมาช่วยธุรกิจครอบครัวในอนาคต โดยทายาทบอกเป้าหมายที่อยากเห็นในธุรกิจครอบครัวแค่ว่า… 

“อยากให้เจแอนด์เจเป็นธุรกิจที่สามารถให้บริการสินค้าได้ทุกประเภทบนโลก”

ธุรกิจที่เริ่มต้นจากศูนย์ ในปีที่ผ่านมายอดขายของ เจแอนด์เจ อยู่ที่กว่า 400 ล้านบาท มาจากให้เช่าคลังสินค้า 40%  การขนส่งสินค้า 33% และบริหารจัดการคลังสินค้า  27% และยังคงเติบโตขึ้นทุกปี ล่าสุดก็เพิ่งได้รับรางวัล Bai Po Business Awards by Sasin ครั้งที่ 12 ในมิติการบริหารจัดการด้านสินค้าและบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า และมิติการบริหารจัดการด้านการปฏิบัติการ พิสูจน์ความมุ่งมั่นตั้งใจของพวกเขา

ถามถึงคนก่อตั้ง สุจินต์ หวังแค่ว่า จากนี้ “เจแอนด์เจ” ธุรกิจที่มาจากชื่อของเขาและพ่อ (บรรจบ+สุจินต์) จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นบริษัทมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากต่างชาติ และเป็น “องค์กรแห่งความสุข” ของพนักงานทุกคน

เท่านั้นก็ถือว่าสมความตั้งใจของอดีตคุณครูผู้ผันตัวเองมาเป็นนักธุรกิจอย่างเขาแล้ว

                “”””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””

                Key to success

สูตรธุรกิจสายพันธุ์ "เจแอนด์เจ"

๐ ไม่ใช้เงินผิดประเภท กำไรถึงค่อยขยาย

๐ รักษาคำพูด จริงใจ และซื่อสัตย์

๐ มีระบบการทำงานที่ดี ชัดเจน และโปร่งใส

๐ พัฒนาบริการ สนองความต้องการลูกค้า

๐ บริการใกล้ชิด ใส่ใจเต็มร้อยในทุกจุด

๐ พนักงานรับผิดชอบ และซื่อสัตย์ต่อหน้าที่

๐ ทายาทพร้อมสานต่อ สร้างอนาคตให้ธุรกิจ