'สมคิด' ดันเป้าส่งออกปีนี้โต 5% มั่นใจตลาดโลกฟื้น

'สมคิด' ดันเป้าส่งออกปีนี้โต 5% มั่นใจตลาดโลกฟื้น

"สมคิด" ดันเป้าส่งออกปีนี้โต 5% มั่นใจตลาดโลกฟื้น กลุ่มซีแอลเอ็มวีเติบโตสูง สั่งเดินหน้ายุทธศาสตร์ ด้านเอกชนชี้เป็นไปได้ยาก คงเป้า 2.5-3%

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ดันเป้าหมายส่งออกปีนี้ขยายตัว 5% มากกว่าฝ่ายวิจัยของหลายสถาบันและหน่วยงานภาครัฐที่ประเมินว่าการส่งออกปีนี้จะขยายตัวในระดับ 3-3.5% ขณะที่วานนี้(20 ก.พ.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)ประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัว 3-4% โดยปรับเป้าส่งออกขยายตัว 2.9% จากเดิม 2.4%

นายสมคิด ประกาศเป้าหมายส่งออก ภายหลังเป็นประธานประชุมมอบนโยบายผลักดันการส่งออกปี 2560 ให้กับผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์และผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ 58 แห่งทั่วโลก วานนี้ (20 ก.พ.) โดยระบุว่า จากตัวเลขการส่งออกในปี 2559 ที่กลับมาขยายตัวเป็นบวกในรอบ 3 ปีและสวนกระแสกับเศรษฐกิจโลก จึงทำให้มั่นใจว่าแนวโน้มส่งออกไทยในปีนี้จะขยายตัวด้วยเป้าหมายที่ท้าทายอยู่ในกรอบ 5%

“มีปัจจัยบวกที่จากเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว หลายตลาดหลักของไทยเริ่มมีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวีที่มีเศรษฐกิจเข้มแข็ง และเป็นสัดส่วน 25%ของการส่งออกไทย”

นอกจากนี้ ปัจจัยบวกที่จะหนุนภาคส่งออกยังเป็นเรื่องของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นและความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคจากตลาดเกิดใหม่ เช่น แอฟริกา และลาตินอเมริกา ขณะที่สัญญาณเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้าหลักของไทยก็พบว่ามีแนวโน้มดีขึ้น อีกทั้งราคาสินค้าเกษตรก็มีราคาที่สูง

อย่างไรก็ดี เป้าหมาย 5% วางไว้นั้นยอมรับว่า เป็นเป้าที่ท้าทายแต่ด้วยปัจจัยบวกต่างๆ หากมีการขยายตัวในกรอบนี้ก็ถือเป็นเรื่องดี ทั้งนี้ยังเชื่อว่าจากปัจจัยภายนอกเรื่องของนโยบายสหรัฐ ก็เป็นผลที่อาจกระทบกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ก็ต้องเตรียมแผนรับมือและต้องปรับตัว

“ตอนนี้ไทยมาถึงจุดที่จะต้องขยายการลงทุนในต่างประเทศแล้ว ไม่เพียงผลักดันการส่งออกอย่างเดียว แต่อยากให้มองถึงการขยายการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตให้มากขึ้น เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งที่สินค้าไม่สามารถแข่งขันได้ผู้ประกอบการก็ต้องขยายการลงทุนในเปิดตลาดใหม่ในต่างประเทศทำให้มูลค่าของธุรกิจสูงขึ้นซึ่งถือเป็นเรื่องที่เดินมาถูกทางและหลายประเทศที่พัฒนาแล้วก็ดำเนินการเช่นนี้ ดังนั้นในอนาคตดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจจะไม่เพียงการจัดเก็บข้อมูลส่งออกแต่ต้องดูทั้งการส่งออกและการลงทุนต่างประเทศเพื่อสะท้อนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย”

หวังยุทธศาสตร์“พาร์ทเนอร์ชิพ”

นายสมคิด ยังกล่าวอีกว่า ยุทธศาสตร์ที่จะเดินหน้าผลักดันภาคส่งออกสิ่งแรกที่อยากให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการคือการส่งเสริมภาคบริการที่ปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วน 30% ของการส่งออกไทย ทั้งในธุรกิจบริการด้านโลจิสติกส์ ขนส่ง อนิเมชั่น บันเทิง สิ่งเหล้านี้มีมูลค่าค่อนข้างสูงดังนั้นจึงต้องเร่งสร้างให้มีตลาดรองรับ ปรับภาพไทยจากการเป็นฐานส่งออกผลิตสินค้าอย่างเดียวให้เป็นการส่งออกในด้านสินค้าบริการเพิ่มเติมด้วย

นอกจากนี้ มอบให้กระทรวงพาณิชย์หารือกับภาคเอกชนเพื่อจัดทำศูนย์จำหน่ายสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของไทยในหัวเมืองใหญ่ต่างประเทศ เพื่อเจาะตลาดการค้าโดยตรงไม่เพียงเป็นฐานส่งออกสินค้าเพื่อให้เกิดการแปรรูปต่อยอด

อีกทั้ง ยุทธศาสตร์สำคัญที่มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งวางแผนคือการเดินหน้าเจรจาการค้าในรูปแบบกรอบข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ รวมทั้งการจัดทำนโยบายสร้างหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ (พาร์ทเนอร์ชิพ) โดยเฉพาะการจัดทำพาร์ทเนอร์ชิพถือเป็นยุทธศาสตร์การค้าสำคัญที่มีแต่ประโยชน์เพราะไม่ใช่การปรับลดภาษีเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการเจรจาข้อตกลงที่แต่ละฝ่ายมีประโยชน์ร่วมกันและสามารถดำเนินการได้ทันที

ประเมินขยายตัวทุกตลาด

ทั้งนี้ เป้าหมายการส่งออกของไทยที่วางไว้ 5% แบ่งออกเป็นรายตลาด ได้แก่ สหรัฐฯ ตั้งเป้าขยายตัวได้ 3.2%จากมูลค่าการค้าในปีก่อน 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ สหภาพยุโรปตั้งเป้าขยายตัวได้ถึง 3%จากมูลค่าการค้า 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีก่อน รัสเซียขยายตัว 11.8%จากมูลค่า 766 ล้านดอลลาร์ในปีก่อน ขณะที่ญี่ปุ่นจะขยายตัว 4%จากมูลค่าการค้า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีก่อน และจีนขยายตัว 4%จากมูลค่าการค้า 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีก่อน

ขณะที่ กลุ่มประเทศอาเซียน คาดว่าจะขยายตัวสูงถึง 5%จากมูลค่าการค้า 5.4 หมื่นล้านดอลลาร์ เฉพาะกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวีจะขยายตัวได้สูงถึง 6.4%โดยมียุทธศาสตร์การเดินหน้าแผนกลยุทธ์สำคัญอย่างการสร้างเครือข่ายสัมพันธ์ ทั้งภาครัฐและเอกชน

ส่วนเป้าหมายผลักดันมูลค่าการค้าชายแดนในปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.8 ล้านล้านบาท จากปี 2559 ที่มีมูลค่าชายแดน 1.2 ล้านล้านบาท

สำหรับ เป้าหมายส่งออกในตลาดอาเซียนในปี 2560 แบ่งออกตลาดอาเซียน ขยายตัว 5%และตลาดซีแอลเอ็มวี ขยายตัว 6.4% และเมื่อแยกรายประเทศ ตั้งเป้าตลาดฟิลิปปินส์ขยายตัว 8% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขยายตัว 6.7% เช่นเดียวกับกัมพูชาตั้งเป้าขยายตัว 7%จากปีก่อน 6% เวียดนามตั้งเป้า 6%จากปีก่อน 5.8% ลาวตั้งเป้า 7%จากปีก่อน 5.7% อินโดนีเซีย 2%จากปีก่อน 3.1%และเมียนมาตั้งเป้าขยายตัวสูงถึง 6%จากปีก่อนที่ขยายตัวอยู่ในระดับ 0%

เอกชนโอกาสยากประเมิน2.5-3%

นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เป้าการส่งออก 5% ถือเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย เพราะภาคเอกชนมองว่าจะทำได้ 2.5-3% แต่การตั้งเป้าสูงก็เป็นการผลักดันให้ทำงานได้เต็มที่

“สิ่งสำคัญคือรัฐบาลจะต้องผลักดันกลยุทธ์ได้ชัดเจนและต่อเนื่อง”

นายวัลลภ มองว่า ตลาดซีแอลเอ็มวียังเป็นตลาดสำคัญที่ขยายตัวอย่างก้าวกระโดดใน ส่วนตลาดหลักอย่าง จีน อเมริกา รัสเซีย และยุโรป มีโอกาสโตต่อเนื่อง

นายวัลลภ คาดว่า การส่งออกของไทยในปีนี้ขยายตัวอยู่ในกรอบ 2.5-3% ตามเป้าหมายที่ สอท.ประเมินไว้ ส่วนสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.)ประเมินการส่งออกไว้ที่ 2% และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) มองขยายตัว 1-3% ดังนั้น เป้ารัฐบาลที่วางไว้ 5%จึงถือเป็นเป้าที่ท้าทาย

ด้านนายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า เป้าส่งออกปีนี้ 5%จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ที่ 3-3.5% มีโอกาสที่เป็นไปได้ แต่ต้องมีแผนที่ผลักดันที่ชัดเจนและเชิงรุกทั้งในด้านตลาดและสินค้า อีกทั้งต้องทำอย่างต่อเนื่องให้เป็นรูปธรรม ซึ่งต้องแตกต่างไปจากเดิมที่ใส่เม็ดเงินลงไปและก็มีกิจกรรมตามแผนซึ่งธรรมดาไป

“แต่เอกชนยังมองว่าการส่งออกทั้งปีจะอยู่ในกรอบ 3%”

สศช.คาดส่งออกปีนี้โต2.9%

นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4 ปี 2559 และแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2560 โดยในไตรมาสที่ 4 ปี2559 จีดีพีขยายตัว 3% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาส่งผลให้ภาพรวมปี2559จีดีพีทั้งปีขยายตัวได้3.2% ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี2558 ที่ขยายตัว2.9% ซึ่งเศรษฐกิจไทยได้รับแรงสนับสนุนจากการส่งออกที่ขยายตัวได้3.6%

นอกจากนี้ สศช.คงประมาณการเศรษฐกิจในปี 2560 อยู่ที่ 3-4% โดยมีค่ากลางอยู่ที่ 3.5% ซึ่งแนวโน้มเศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวได้ดีต่อเนื่องจากในปีก่อน เนื่องจากได้ปัจจัยบวกสนับสนุนในหลายด้าน คือ ภาคการส่งออก สศช.คาดว่าในปีนี้การส่งออกจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.9% ปรับเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่การส่งออกในปีนี้จะขยายตัว 2.4% โดยถือว่าเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นในรอบ 3 ปี ตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณการค้าโลกในปีนี้ที่จะขยายตัว 3.6% และเศรษฐกิจโลกที่จะขยายตัวได้ประมาณ3.3%

“การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มเป็นสัญญาณการฟื้นตัวของรอบวัฏจักรเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวนับจากวิกฤตซับไพรม์ในปี2550ซึ่งการเปลี่ยนเป็นวัฏจักรเศรษฐกิจขาขึ้นยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะกินระยะเวลาเท่าไหร่ เนื่องจากในแต่ละรอบวัฏจักรเศรษฐกิจสั้นยาวไม่เท่ากัน"