แจงคสช.ยุติความขัดแย้งได้ ด้วยพระบารมีในหลวง ร.9

แจงคสช.ยุติความขัดแย้งได้ ด้วยพระบารมีในหลวง ร.9

"ประวิตร" เชื่อ รัฐบาล-คสช. ยุติความขัดแย้งได้ ด้วยพระบารมี "ในหลวง ร.9" ยันกระบวนการปรองดองต้องตอบโจทย์อนาคต

เมื่อเวลา 09.00 น. ที่วิทยาลับป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม เป็นประธานเปิดหลักสูตรผู้นำพอเพียงเพื่อความมั่นคง รุ่นที่1 โดยมี พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพไทย เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวตอนหนึ่งว่า หลักสูตรผู้นำพอเพียง เพื่อความมั่นคง จะเป็นประโยชน์ ในการสร้างพลเมือง และผู้นำที่สอดคล้องกับการปฏิรูปประเทศในปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินมหาทรภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานยุทธศาสตร์พัฒนาในการต่อสู้กับความยากจน ทรงมีวิริยะ อุตสาหะ อุทิศพระองค์ปฏิบัติพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ ก่อให้เกิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งหลักการทรงงาน พระราชดำรัส และพระบรมราโชวาทนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ ต่อพสกนิกรชาวไทยและเป็นที่ยอมรับของโลก

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า หลักสูตรผู้นำพอเพียงเพื่อความมั่นคงนอกจากเป็นการสร้างคนให้เป็นพลเมืองที่ดี และเป็นผู้นำของสังคมยุคใหม่แล้ว ยังเป็นการดำรงสืบทอดทรัพย์สินทางปัญญาและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดไม่ได้ในห้วงเวลานี้ ซึ่งขณะนี้เรามีผู้นำที่เพียงพอแล้ว แต่ผู้นำยังไม่มีความพอเพียง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมิน มหาภูมิพลอดุลยเดช ทำให้พวกเราได้เห็น

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อไปว่า โดยในห้วงระยะเวลาเกือบ 3 ปีถือเป็นเวลาที่สำคัญยิ่ง หลังจากที่ทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เข้ามายุติความขัดแย้ง เพื่อให้ประเทศเกิดความสงบและเดินไปข้างหน้า ถือเป็นยุคเปลี่ยนผ่านและเราก็ผ่านพ้นมา ถือเป็นความสำคัญ ในรัชกาลที่ 9 ต่อมาจนถึงรัชกาลที่ 10 จะเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ในเรื่องของงานด้านความมั่นคงที่ทุกคนได้ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นทหารตำรวจข้าราชการพลเรือน ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมที่ทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าไปสู่ความมั่นคง

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ที่เราทำแบบนี้ได้เพราะด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ได้ทรงงาน ตลอดระยะเวลา 70 ปี ซึ่งเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าความพอเพียงที่พระองค์ท่านได้ทรงทำ ได้ทรงปฏิบัติมานั้น ได้เข้าไปอยู่ในจิตใต้สำนึกประชาชน และประชาชนได้ให้ความเคารพ เชื่อมั่นในพระบารมีของพระองค์ท่าน ที่ทำให้ประเทศนี้เจริญรุ่งเรืองมาได้ตลอดระยะเวลา 70 ปี

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ถึงแม้ว่าในห้วงระยะเวลาจะเป็นห้วงที่ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ได้ปรับทั้งยุทธศาสตร์ชาติ การปฏิรูปประเทศ แต่สิ่งที่เราดำเนินการอยู่ในขณะนี้ต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่า เมื่อ คสช.เข้าไปยุติความขัดแย้งแล้ว ต่อไปเราจะทำอย่างไร นอกจากการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งต้องตอบโจทย์นี้ให้ได้ นั่นก็คือการสร้างความปรองดอง ที่จะเกิดขึ้นภายในชาติ แต่การปรองดองไม่ใช่เรากอดคอมานั่งกินข้าวกัน จะต้องเป็นการปรองดอง ที่ทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้า และมองไปถึงยุทธศาสตร์ 20 ปีข้างหน้าว่าประเทศจะต้องเดินอย่างไร ที่ทำให้ประชาชนเกิดความมั่นคงมั่งคั่งยั่งยืนต่อไป

พล.อ.ประวิตร กล่าวอีกว่า งานในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจด้านสังคมเรื่องความมั่นคงสำคัญที่สุดคือต้องมาก่อน หากไม่มั่นคงทุกอย่างจะเกิดไม่ได้ ทั้งนี้งานทางด้านความมั่นคงไม่ใช่เฉพาะตำรวจและทหาร หรือข้าราชการ แต่ทุกคนต้องร่วมกันทำอย่างไรให้ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สิน

พล.อ.ประวิตร กล่าวอีกว่า ขณะนี้ประเทศอยู่ในห้วงการเปลี่ยนผ่านที่มีความสำคัญยิ่ง เนื่องจากต้องเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ตามโรดแมปที่ชัดเจน และนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ได้ประกาศอย่างชัดเจนแล้ว ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนโรดแมป และจะเดินไปตามนี้ และต้องมีการเลือกตั้งต่อไปในอนาคต เพื่อให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่ถาวร และมั่นคงต่อไปในอนาคต จะได้ไม่ต้องมีการแบ่งกลุ่มเป็นฝ่าย 2 ฝ่ายซึ่งในขณะนี้เราก็พยายามที่จะทำ ในเรื่องของการปรองดองในทุกๆส่วน ทำพรรคการเมือง ผู้เชี่ยวชาญต่างๆนักวิชาการ ประชาสังคม

“ บางคนมองว่า ในเรื่องของการปรองดองจะทำได้แน่หรือไม่ ซึ่งก็ยังดีว่าเป็นแนวทาง ในการให้ทุกฝ่ายมามีส่วนร่วม ซึ่งตนก็ทำใน 2 ระดับ ในระดับบน ในระดับรัฐบาลและระดับกองทัพ ทำคู่ขนานกันไป เพื่อให้ได้ข้อมูลว่าจะอยู่กันอย่างไร ใน 10 ประเด็นที่ระบุไว้ ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องไปลงนาม ซึ่งจะได้ดูว่าคนไหนที่เข้าใจและคนไหนที่ยังไม่เข้าใจ เช่นหากเกิดการเลือกตั้งแล้ว คนที่ได้คะแนนมากให้จัดตั้งรัฐบาล เดี๋ยวก็มีคนออกมาเดินขบวน ก็จะต้องรู้ว่าการกระทำดังกล่าวนั้นผิดตามข้อตกลง รวมกัน ทั้งนี้เมื่อรับฟังข้อเสนอจากทุกกลุ่มทุกฝ่ายทุกภาคส่วนแล้วเราก็จะสรุปแล้วก็ออกทีวีเพื่อประกาศให้ประชาชนได้รับทราบต่อไป” พล.อ.ประวิทย์ กล่าว