ย้ำเดินหน้ายึดทรัพย์ 'บุญทรง' แต่ยังไม่ได้แม้แต่ดินสอ

ย้ำเดินหน้ายึดทรัพย์ 'บุญทรง' แต่ยังไม่ได้แม้แต่ดินสอ

"วิษณุ" ย้ำเดินหน้ายึดทรัพย์ "บุญทรง" ตามกฎหมาย แต่ยังยึดไม่ได้แม้แต่ดินสอ เหตุให้จนท.ดำเนินการ รัฐบาลไม่เกี่ยว

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าววานนี้ (18ก.พ.) ถึงกรณีการเดินหน้ายึดทรัพย์นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กรณีความผิดต่อโครงการระบายข้าวแบบต่อรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท เรื่องดังกล่าวขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้า เพราะยังไม่สามารถยึดทรัพย์ใด ๆ ของนายบุญทรงได้ แม้แต่ดินสอ ปากกา โต๊ะ หรือ ที่ดินสักแปลง ส่วนที่หลายฝ่ายพยายามตั้งคำถามเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวนั้นตนไม่ควรให้สัมภาษณ์มากนัก เพราะจะถูกมองว่าไม่ให้ความยุติธรรม แต่หากไม่ตอบคำถามของผู้สื่อข่าว จะถูกตั้งแง่ว่ารัฐบาลไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ทั้งที่มีคำสั่งและมาตรการทางกฎหมายออกมาแล้ว อย่างไรก็ตามยืนยันว่ารัฐบาลรู้ถึงความสมดุล และความพอดีต่อการดำเนินการดังกล่าว

“หากบอกว่าไม่เริ่มอะไร ก็ถูกมองว่าไม่ทำอะไรเลย ทั้งที่กฎหมายบอกว่าต้องเริ่มแล้ว แต่ขั้นตอนตามกฎหมายที่ออกมา คือ ต้องเตือนก่อน โดยมีกรอบเวลา 45 วันเมื่อเตือนแล้วแต่เขาเฉย จนครบเวลาจึึงจะเร่ิมในขั้นตอนต่อไป คือ เจ้าหน้าที่ลงมือยึด แต่ที่ผ่านมามีขั้นตอนที่เขาร้องต่อศาลให้คุ้มครอง จนต้องรอกระบวนการให้ศาลยกคำร้องก่อน จึงจะเตรียมการยึดได้ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ยึดอะไรสักอย่าง จนไม่รู้ว่าทรัพย์นั้นยังอยู่หรือไม่” นายวิษณุ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ ได้ชี้เป้าแล้วหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ เพราะเป็นเรื่องที่กระทรวงพาณิชย์ และกรมบังคับคดีต้องดำเนินการ โดยขณะนี้กระบวนการเริ่มต้นแล้ว แต่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องดำเนินการ เพราะเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการตามกระบวนการและคำสั่งทางกฎหมาย อย่างไรก็ตามประเด็นดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายที่บังคับใช้ทั่วไปกับคดีอื่น ๆ เช่น โครงการกู้เงินสถาบันการเงินของรัฐ มูลค่า 20 ล้านบาทแต่ไม่ชำระเงินกู้คืน, การผิดการชำระบัตรเครดิต, ไม่ชำระค่าผ่อนรถ ดังนั้นเมื่อพบการผิดชำระหนี้ เป็นหน้าที่ของเจ้าหนี้ที่ต้องฟ้องร้องดำเนินการ เมื่อเจ้าหนี้ฟ้องชนะจะเป็นขั้นตอนของการบังคับคดี โดยคดีรับจำนำข้าวใช้วิธีการเดียวกันกับความผิดตามที่ตนยกตัวอย่าง ใช้กฎหมายฉบับเดียวกันโดยไม่ผิดขั้นตอนแม้แต่นิดเดียว รวมถึงเจ้าหน้าที่เป็นบุคคลเดียวกัน แต่ที่ถูกจับตาเพราะเป็นเงินมูลค่าสูง