KOYASAN มรดกโลก โชกโชนกว่า 1,200 ปี

KOYASAN มรดกโลก โชกโชนกว่า 1,200 ปี

“ญี่ปุ่นคราวนี้ที่แตกต่าง และออกห่างจากแสงสี เพราะเราจะไปนอนวัดกัน”

นอนวัด!! ทำไมเราต้องบินข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อไปนอนวัดไกลถึงญี่ปุ่น ของกิน แหล่งชอปปิง แสงสี ธรรมชาติมากมาย ทำไมต้องเป็นวัด


... ที่นั่นมีอะไรดี


หลังจากที่ดินแดนอาทิตย์อุทัยยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศ คนไทยก็หลั่งไหลเข้าไปเยี่ยมบ้าน ชมเมือง สัมผัสวัฒนธรรม ชอปปิง และซึมซับต้นตำรับฮิปสเตอร์ จนเรียกได้ว่าตามย่านชอปปิงแทบจะมีภาษาไทยติดอยู่ทุกร้านไม่แพ้ภาษาจีนเลยทีเดียว


นักเดินทางอย่างเราไม่ค่อยชอบซ้ำรอยเท้าใคร จึงเกิดโจทย์ในการเดินทางครั้งใหม่ว่า “ขออะไรที่แปลก และแตกต่าง!?”


เอาละสิ...รวมหัวกันค้นข้อมูลจนมาสะดุดกันที่ Koyasan เมืองเล็กๆ ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาที่มีความสูงกว่า 800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในจังหวัด Wakayama และเมื่อปี ค.ศ. 2004 ยูเนสโกก็ประกาศให้เป็นมรดกโลกลำดับที่12 ของญี่ปุ่น มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า“เส้นทางและสถานจาริกบุญอันศักดิ์สิทธิ์แห่งเทือกเขาคิอิ”


ว้าว!! ข้อมูลแค่นี้ก็ทำให้แววตาเปล่งประกายเฉิดฉายออกมาเลยทีเดียว


แล้วการเดินทางล่ะ? เนื่องจากเมืองนี้ตั้งอยู่ห่างไกลจากเมืองศิวิไลซ์ แถมยังต้องขึ้นเขา แต่อย่าลืมว่าที่นี่คือญี่ปุ่น การเดินทางมีให้เลือกสะดวกสบายหลากหลายวิธีอยู่แล้ว การเดินทางในครั้งนี้เราขอสตาร์ทกันที่ Osaka ใช้บริการรถรางแบบนั่งกันยาวๆ ไม่ต้องกลัวหลง เพราะนั่งไปจนสุดสาย ถ้าเผลอหลับพนักงานรถไฟต้องมาปลุกเราแน่นอน


รถไฟเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาเพียงไม่นาน เราก็ ... หลับ!! แต่ก็พักสายตาได้เพียงไม่นาน เพราะระหว่างทางจะได้ยินเสียง โอ้โห! อื้อหือ! ดังเป็นระยะๆ เลยทำให้เราต้องตื่นตัวอยู่ตลอด และเมื่อมองไปนอกหน้าต่างรถไฟขบวนนี้ ภาพที่เห็นคือ บ้านเรือน สิ่งปลูกสร้าง ที่กำลังเริ่มเลือนลางและจางหายไป กลายเป็นภูเขา ลำธาร ต้นไม้ใหญ่ มีหมอกบางๆ และเม็ดฝนโปรยปราย เหมือนเรากำลังนั่งรถไฟทะลุมิติ หลุดไปสู่ดินแดนอันไกลโพ้น


และในที่สุดเราก็มาถึงสถานีสุดท้ายที่ Gokurakubashi จุดหมายของเราเหลือเพื่อนร่วมทางน้อยมาก และดูสภาพแต่ละคนแล้ว นี่มันนักเดินทางแบบโชกโชนชัดๆ ที่สำคัญไม่มีคนเอเชียเลยสักคน


คราวนี้ต้องเปลี่ยนการเดินทางมาขึ้นเขาด้วย Cable Car ที่ไต่ขึ้นภูเขาลาดเอียงเกือบ 45 องศา ภายในตัว Cable Car จะเป็นที่นั่งแบบไล่ระดับ ถ้าใครอยากชมวิวแบบเสียวนิดๆ แนะนำให้นั่งทางด้านล่างสุด จะได้เห็นระยะทางที่เรากำลังขึ้นเขา ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาเพียงแค่ 5 นาที แต่ก็ทำให้เราตื่นเต้นได้มากพอสมควร และเมื่อเราก้าวลงจากสถานี นี่แหละ... เมืองในฝัน


ภาพแรกในความทรงจำเมื่อถึง Koyasan คือเมืองนี้น่าเกรงขาม สุขุม นิ่ง สงบ บวกกับไอเย็น หมอกบางๆ และเม็ดฝนที่กระทบตัว ยิ่งทำให้รู้สึกขนลุก ทั้งบรรยากาศและความหนาว จากระดับความสูงของที่ตั้งประมาณ 800-900 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ท่ามกลางภูเขา 8 ลูก และต้นไม้ใหญ่ที่ดูแล้วอายุน่าจะราวๆ รุ่นคุณยายทวดเห็นจะได้


สถานี Koyasan เป็นสถานีเล็กๆ มีร้านค้าน่ารักๆ เพียงร้านเดียว แต่อยากให้ลองมองดูดีๆที่นี่มีบันไดซ่อนอยู่ เดินมาถึงชั้นบนของสถานีจะเจอกับพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม มีโมเดลรถไฟไว้ให้เราทำความเข้าใจ และมีมุมไฮไลท์ไว้ให้นั่งพักทอดสายตา ชมบรรยากาศของเมืองมรดกโลกอายุ 1,200 ปี ได้อีกด้วย


ดื่มด่ำกับบรรยากาศแบบแรกพบแล้ว เราก็ต้องรีบออกไปขึ้นรถบัสโดยสาร ที่จอดรอเพื่อพานักท่องเที่ยวเข้าสู่เมืองที่น่าทำความรู้จักแห่งนี้


การจราจรที่นี่ค่อนข้างบางตา หนทางคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา มองไปทางไหนก็จะเห็นต้นไม้สูงใหญ่ บรรยากาศอึมครึม ตลอดทางแทบไม่มีบ้านเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างให้เห็น นอกจากบริเวณที่เป็นสถานีให้รถหยุดก็พอจะเห็นวิถีชีวิตอยู่บ้าง แต่รถโดยสารจะไม่จอดทุกสถานี เพราะฉะนั้นทางที่ดี ตอนขึ้นรถเราสามารถบอกคุณลุงคนขับรถได้ว่า เราพักที่ไหน แล้วเขาก็จะจอดให้เราลงแบบตรงเป๊ะเลย ถึงแล้ว...วัด...ที่พักของเราในคืนนี้ โอ้! ไหนวัด ไม่เห็นมีวัดเลย นี่มันโรงแรมชัดๆ Fukuchi-in เป็นที่พักแบบเรียวกังที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น และยังคงยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีในการใช้บริการแบบดั้งเดิมเอาไว้ไม่จางหาย


เนื่องจากประวัติของเทือกเขาโคยะซังมีมายาวนานมาก และเพิ่งจะมีการจัดฉลองครบรอบ 1,200 ปี ไปในปี ค.ศ. 2015 และเมือง Koyasan ที่นี่ยังถูกยกให้เป็นมรดกโลกลำดับที่12 ของญี่ปุ่นอีกด้วย เพราะได้มีบันทึกระบุไว้ว่า ตั้งแต่ ค.ศ. 816 บริเวณ Koyasanได้กลายเป็นสถานที่พำนักและปฏิบัติธรรม จนกลายเป็นศูนย์กลางของนิกายวัชรยาน และในสมัยก่อนมีวัดรายรอบบนเขาอยู่มากถึง 1,812 แห่ง ถึงแม้ปัจจุบันจะเหลือวัดแค่เพียง 117 วัด แต่กลิ่นไอความเป็นเมืองแห่งธรรมะยังคงอยู่ เพราะสิ่งปลูกสร้างแบบสมัยใหม่โรงแรมสูง แสงสี ไม่มีให้เห็นแน่นอน


เข้าที่พักกันเถอะ เดินทะลุประตูทางเข้าสุดอลังการมาก็จะเจอกับสวนเซ็น สัมผัสได้ถึงความนิ่ง สงบ ยืนชื่นชมอยู่สักพัก ก็จะมีเจ้าหน้าที่เดินออกมาต้อนรับแนะนำการใช้บริการเบื้องต้น และได้พาเดินชมรอบๆ เพื่อทำความเข้าใจการใช้บริการในแต่ละส่วน แปลกแต่จริง เราทุกคนท่าทีสงบเสงี่ยมเจียมตัวโดยอัตโนมัติ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงดัง ฟังอย่างตั้งใจ และเดินมาจนถึงจุดสุดท้ายก็คือห้องนอนของเรานั่นเอง


เรียวกัง...แน่นอนว่า ต้นตำหรับ ต้องนอนเสื่อตาตามิ อ่างอาบน้ำรวม และบริเวณสาธารณะผู้เข้าพักจะต้องสวมยูกาตะ


สิ่งแรกที่ดึงความสนใจของสาวๆ ได้มากที่สุด ก็คือ ชุดยูกาตะ รีบเปลี่ยนอย่างไม่รีรอ แต่ด้านผู้ชายอาจจะมีเขินบ้างเล็กน้อย เอาน่า...นานๆ ที ขอเนียนๆ เป็นคนญี่ปุ่นแป๊ปนึง หลังจากที่เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วก็ได้เวลาชวนช่างภาพออกมาถ่ายแฟชั่นชุดยูกาตะไว้อวดเพื่อนๆ เดี๋ยวไม่มีใครรู้ว่าเราอยู่ญี่ปุ่น


Fukuchi-in แห่งนี้แบ่งออกเป็น 3 โซนหลัก ห้องพัก ส่วนกลาง และสวนเซ็น


ห้องพัก มีทั้งแบบวิวสวน ติดภูเขา และเป็นหมู่คณะ ส่วนห้องโถงกลาง จะเป็นจุดที่เอาไว้นั่งทอดอารมณ์ของสวนเซ็น มีมุมกาแฟเล็กๆ หันหน้าออกรับลมเย็นสบายๆ มีกลิ่นหอมของกาแฟแบบเบาบาง เป็นมุมที่สุดแสนสโลว์ไลฟ์ เดินถัดมาอีกนิดก็จะมีสิ่งของเครื่องใช้เหมือนเอาไว้บอกความเป็นมา เพื่อให้ผู้มาเยือนได้ทำความรู้จักและสนิทสนมกับเรียวกังแห่งนี้มากยิ่งขึ้น


พระอาทิตย์ลับขอบภูเขา เราก็เริ่มหิว ที่พักแห่งนี้จะมีบริการเรื่องอาหารด้วย แต่ต้องแจ้งล่วงหน้าว่าจะรับหรือไม่รับ และที่สำคัญอาหารที่นี่จะเป็นแบบมังสวิรัติ เน้นไปที่เต้าหู้ เราเลยตกลงกันว่า ขอเป็นมื้อเช้าน่าจะเหมาะกว่า เพราะตอนเย็นจะได้ออกไปเดินชมเมืองยามค่ำคืนบ้าง


แต่แล้ว เราก็พบว่าเราคิดผิดมากที่ปฏิเสธอาหารมื้อค่ำ เพราะบริเวณที่เราอยู่ มีร้านค้าแบบร้านโชห่วยแบบบ้านเราประมาณ 3 ร้าน และมีร้านอาหาร 2 ร้านที่ปิดร้านแล้ว อ้าว!! เพิ่งจะ 18.00 น. เอง เอาไงดี คงต้องพึ่งข้าวปั้นและอาหารกล่องตามแบบฉบับ เพราะฉะนั้นใครที่จะเดินทางมาที่นี่อย่าปฏิเสธอาหารค่ำเชียว อิ่มแล้วออกมาเดินเล่นก็ยังไม่สาย


ฝนโปรยปรายยามค่ำ ทำให้อุณหภูมิลดลงไปอยู่ที่ 4 องศา เราโหยหาสิ่งที่ทำให้อุ่นกายมาก นั่นก็คือ การแช่ออนเซ็น เนื่องจากเป็นห้องน้ำรวมที่เรียกกันว่า Communal Bath ไหนๆ ก็ต้องทำใจอาบน้ำแล้ว ขอแช่ให้ฟินหน่อยแล้วกัน


ออนเซ็นที่นี่เป็นแบบแยกชายหญิง มีทั้งแบบในร่มและกลางแจ้ง กว้างขวางจนสามารถนอนดูดาว ดื่มด่ำธรรมชาติได้ บ่อน้ำร้อนที่นี่อุณหภูมิอยู่ที่ 40 องศาเซลเซียส และยังมีบ่อแบบธรรมชาติเป็นอ่างไม้ขนาดใหญ่อีก 2 บ่อ โชคดีที่ไม่มีคนอยู่เลย เราจึงสามารถถ่ายภาพได้


แต่พอตัดสินใจลงบ่อเท่านั้นแหละ หันไปอีกที โอ้ววว โน้ววว!! คนเต็มเลย ถึงแม้จะเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าคือธรรมเนียมปกติของคนญี่ปุ่น แต่สำหรับเราก็ยังมีอาการเขินและรู้สึกหวิวๆ ในช่วงเวลาที่ลมเย็นๆพัดผ่านร่างกายของเรา บรื๋ออออ...


ทำใจได้แล้วก็เดินอย่างมั่นใจ มองสูงไว้ แล้วก็ก้าวเท้าลงในบ่อทันที อูยยยยยย... ต้องสะดุ้ง เฮือก! ถอยกลับมาตั้งหลักอีกครั้ง เพราะความร้อนของน้ำที่ 40 องศา ทำให้เข้าใจความรู้สึกของไข่ที่โดนต้มได้ดีทีเดียว


เอาใหม่ คราวนี้ขอใช้หลักวิทยาศาสตร์ที่มีติดตัวอยู่น้อยนิด ข้างนอกหนาว น้ำต้องอุณภูมิต่ำลงแน่เลย ทันใดนั้นตัดสินใจเดินออกไปบ่อกลางแจ้ง อู้วววววว ...ไม่ต่างกัน เพราะมีแผ่นกันความร้อนวางไว้น่ะพี่ชาย แต่อย่างน้อยด้านนอกยังมีเม็ดฝนโปรยลงมาช่วยบรรเทาความร้อนได้ ผ่านไป 3 นาที จากความร้อนที่เหมือนกระทะทองแดงกลายเป็นปุยเมฆลอยบนสวรรค์ซะแล้ว อะไรจะสบายขนาดนี้ ดาวนับล้านโอบล้อมด้วยภูเขาและต้นไม้ใหญ่ อากาศเย็นแต่ได้ไออุ่นจากบ่อน้ำร้อน นี่แหละเรามาถึงญี่ปุ่นแล้ว เย่!!


กริ๊งงงงง ... เสียงนาฬิกาปลุกดังท่ามกลางความเงียบสงบ บอกเวลา 6 โมงเช้าแล้ว ต้องรีบตื่นแต่งตัวออกมาร่วมพิธีสวดมนต์ทำวัตรเช้ากับหลวงพ่อ กิจกรรมนี้ไม่บังคับ แต่ถ้าเราต้องการซึมซับความเป็นญี่ปุ่น ขอแนะนำให้เข้าร่วมเถอะ และในพิธีนี้ห้ามใส่ชุดยูกาตะเด็ดขาด ต้องแต่งตัวเรียบร้อย และที่สำคัญห้ามถ่ายรูป พิธีก็ไม่มีอะไรมาก คือจะมีหลวงพ่อนำสวด เราก็นั่งทำสมาธินิ่งๆ หลับตาซึมซับสิ่งรอบข้าง เพียงเท่านี้ก็ทำให้เช้านี้สงบขึ้นแล้ว และในบริเวณหอธรรมที่เรานั่งทำสมาธิ จะมีสวนเซ็นอีกแห่งหนึ่งที่เวลาปกติจะไม่สามารถเดินผ่านได้ ก็ต้องใช้โอกาศนี้เท่านั้นในการชม ดูลึกลับดีนะว่ามั้ย


เช้านี้อุณภูมิลดลงไปอยู่ที่ 2 องศา บวกกับมีฝนโปรยลงมาตลอด ทำให้เราต้องวางแผนการเดินชมเมืองกันใหม่ อาจจะไปได้ไม่ครบแบบที่วางแผนเอาไว้ แต่ตอนนี้รอไม่ได้แล้ว รีบหยิบเสื้อกันหนาว ร่ม กล้องและแผนที่ ออกเดินเท้ามุ่งหน้าไปยัง Kongobuji Temple วัดแห่งนี้ถือเป็นวัดสำคัญที่สุด ในฐานะเป็นศูนย์กลางของวัดในนิกายShingonสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1593 และมีการบูรณะครั้งใหญ่เมื่อปี ค.ศ.1863 แต่ยังคงเหลือส่วนดั้งเดิมที่เก่าแก่ที่สุดให้ได้เห็นอยู่ นั่นก็คือ ประตูใหญ่ทางเข้าวัดนั่นเอง


พอเข้ามาด้านในค่อนข้างจะร่มครึ้มด้วยต้นไม้ใหญ่และอาคารไม้สีน้ำตาลเข้มที่ดูน่าเกรงขาม แต่สิ่งที่หลายคนสงสัยก็คือทำไมต้องมีถังน้ำบนหลังคา จึงให้เพื่อนร่วมทริปที่สนทนาภาษาญี่ปุ่นได้เข้าไปสอบถาม ได้ใจความว่า เก็บน้ำไว้ใช้ยามฉุกเฉิน เช่น เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ก็จะสามารถดับได้ทัน เนื่องจากเป็นอาคารไม้ทั้งหลัง


เราไปดูศิลปะการแกะสลักไม้อันงดงามที่ส่วนใหญ่จะเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ตามความเชื่อ แต่น่าเสียดายที่ภายในอาคารห้ามถ่ายรูป เพราะประกอบไปด้วยห้องสำคัญหลายๆ ห้อง อย่างห้องที่มีสีทองอร่ามทั้งห้อง รวมถึงประตูบานเลื่อนที่วิจิตรงดงามด้วยปลายพู่กันแบบญี่ปุ่นในลวดลายต่างๆ เดินเพลินๆ จนทะลุมาถึงสวนหินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีพื้นที่ ถึง 2,349 ตารางเมตร มีหินวางเรียงลักษณะคล้ายมังกร 2 ตัวอยู่บนปุยเมฆ อลังการสมคำร่ำลือ


ฝนยังไม่หยุดเราก็หยุดไม่ได้ ไปต่อกันที่ Danjo Garan Comple ที่แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติธรรม สิ่งแรกที่โดดเด่นเป็นสง่าเมื่อเดินเข้ามาก็คือ Konpon Daito สถูปเจดีย์สีส้มแดงขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นเจดีย์สองชั้นที่กว้างมาก ถัดมาข้างๆ กันคือ Kondo Hall เป็นศาลาที่มีความเก่าแก่มาก และได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์มาแล้ว 7 ครั้ง เป็นสถานที่ที่ใช้ในการทำพิธีเกี่ยวกับศาสนาที่สำคัญของเมืองนี้


นอกจากนี้ก็ยังมี Fudodo เป็นอาคารไม้หลังเก่าแก่ที่สุดของเมือง เดินลัดเลาะมาทางด้านในก็ยังจะเจอกับอาคารไม้อีกหลายหลังที่ปิดเงียบ แต่มีนักแสวงบุญมายืนโค้งคำนับทำความเคารพอยู่ รวมถึงยังมี Miedo ที่เป็นหอเก็บภาพวาดสมัยโบราณหาชมได้ยาก จะเปิดให้เข้าชมเพียงปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น และแน่นอนว่า เราอดชม


Okunoin Temple เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของดินแดน Koyasan เพราะเป็นที่ฝังศพของท่าน Kobo Daishi ผู้ก่อตั้งพุทธศาสนานิกายShingon ผู้ริเริ่มในการทำให้ Koyasan เป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติธรรม และยังเป็นบุคคลที่ชาวญี่ปุ่นเคารพนับถือในประวัติศาสตร์อีกด้วย เรียกให้เข้าใจง่ายๆ ที่นี่ก็คือสุสานนั่นเอง


ที่แห่งนี้มีหลุมฝังศพกว่าห้าแสนหลุม เพราะทุกคนมีความเชื่อว่า ถ้าได้อยู่ไกล้กับท่าน Kobo จะสงบสุข โดยช่วงแรกๆ ของทางเดินจะโล่งสว่างแสงแดดส่องถึง ก็จะเห็นรูปปั้นเทพเจ้าเรียงรายเต็มไปหมด เดินมาเรื่อยๆ จะรู้สึกถูกแบ่งแยกอย่างชัดเจนด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ที่ดูแล้วอายุไม่ต่ำกว่าร้อยปีแน่นอน


ด้วยต้นไม้ที่หนาทึบและฝนที่โปรยลงมาอยู่ตลอด ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปทันที รู้สึกขนลุก และทำตัวสำรวมโดยอัตโนมัติ มองไปบริเวณรอบๆ จะรับรู้ได้ถึงความชุ่มฉ่ำจากมอสที่ขึ้นปกคลุมบริเวณสุสาน ยิ่งเดินเข้ามาความถี่และความหนาแน่นของหลุมฝังศพเริ่มเยอะขึ้น รูปปั้นประดับสุสานเริ่มมีการตกแต่งด้วยการแต่งหน้าแต่งตัวที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งใส่เสื้อไหมพรม ใส่หมวกสีแดง ทาปากปัดแก้ม ที่กล่าวมาคือรูปปั้นที่เป็น “หิน” ทั้งหมด


เดินมาจนเกือบสุดทางก็จะเจอกับ Mizumuke Jizo ที่มีรูปปั้นพระโพธิสัตว์ช่วยคุ้มครองเด็กๆ รวมถึงนักท่องเที่ยวอย่างเรา จากวิญญาณของผู้เสียชีวิต ถัดมาไม่ไกลก็จะเห็นสะพานข้ามธารน้ำเล็กๆ คือสะพาน Gobyonohashi เพียงแค่ข้ามสะพานนี้ไปก็จะได้พบกับท่าน Kobo และหลังจากข้ามสะพานนี้แล้วห้ามถ่ายภาพและห้ามรับประทานอาหารเด็ดขาด


พอเข้ามาในบริเวณนี้เราจะได้ยินเสียงสวดมนต์ของนักแสวงบุญอยู่ตลอดเวลา ขนาดวันที่เราไปมีคนไม่มาก แต่ความเงียบทำให้เราได้ยินอย่างชัดเจน ไม่ไกลกันก็จะเจอกับ Torodo Hall เป็นอาคารที่เต็มไปด้วยโคมไฟสีทอง ที่เห็นอยู่ไม่ใช่ของตกแต่ง แต่เป็นของที่ชาวบ้านเอามาบริจาคด้วยความศรัทธากว่า 10,000 ชิ้น ส่วนห้องใต้ดินก็จะมีรูปปั้นเล็กๆ เยอะมากที่มาจากการบริจาคเช่นเดียวกัน ทั้งบรรยากาศ สิ่งแวดล้อม ประวัติความเป็นมา กิริยาท่าทางของผู้คน นี่แหละคือสถานจาริกบุญอันศักดิ์สิทธิ์โดยแท้


กลับเข้าสู่ชุมชนอีกครั้ง ช่วงเวลากลางวันช่างแตกต่างจากเมื่อคืน เพราะตอนนี้ร้านค้าบ้านเรือนมีป้ายเชื้อเชิญเปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มใจ สิ่งปลูกสร้างที่นี่เป็นแบบเรียบง่าย หน้าตาคล้ายๆ กันตามแบบฉบับของญี่ปุ่น แต่ก็มีไม่มากนัก แค่พออำนวยความสะดวกในเรื่องอาหารให้กับนักท่องเที่ยวได้เท่านั้น ไม่มีร้านติดแอร์ประดับประดาเลิศหรู แต่สามารถดึงดูดคนให้เข้าไปอย่างไม่ขาดสาย เสน่ห์สไตล์มินิมอลแบบญี่ปุ่นเป็นแบบนี้นี่เอง


อาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ได้เวลาจากดินแดนแห่งความฝัน ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ 1 วัน 1 คืน ที่นี่ยังไม่พอสำหรับเรา เพราะมีอีกหลายที่ที่ยังรอให้เราได้เข้าไปศึกษาและซึมซับวัฒนธรรมแบบไกล้ชิดอยู่ รอยยิ้มและการโค้งคำนับแทนคำบอกลาของคนที่นี่ ยิ่งทำให้การเดินทางของเราในครั้งนี้ฝังลึกลงไปในความทรงจำ และเปลี่ยนทัศนคติในการมาท่องเที่ยวเมืองศาสนา นอนวัด อาหารมังสวิรัติ ป่าเขา ต้นไม้ใหญ่ ไปอย่างสิ้นเชิง


และแน่นอนนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการท่องเที่ยวในแบบที่หลายคนไม่คิดอยากจะลอง ขอแค่ครั้งเดียวที่คุณเปิดใจ คุณจะต้องโหยหาการเดินทางที่แสนพิเศษแบบนี้ตลอดไปแน่นอน