Daily Market Outlook (16 ก.พ.60)

Daily Market Outlook (16 ก.พ.60)

ความกังวลต่อเนื่องต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯ

คาดหุ้นไทยวันนี้ซื้อขายในกรอบแคบภายใต้ภาวะความระมัดระวัง หลังการปรับขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯ มีแนวโน้มมากขึ้นจากตัวเลขข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดที่ประกาศออกมาในเชิงบวก โดยยอดค้าปลีกสามารถขยายตัวได้มากกว่าที่ตลาดคาด ขณะที่เงินเฟ้อขยายตัวสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ปัจจัยในประเทศวันนี้ค่อนข้างเป็นลบ โดยการใช้จ่ายโฆษณาในประเทศเดือนม.ค. ยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่ประเด็นเรื่องการเพิ่มขึ้นค่าเช่าของ AOT ยังคงมีความไม่ชัดเจน

หุ้นเด่นวันนี้: DELTA (Bt90.50; NR; 17TP Bloomberg Bt76.80)

บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) เป็นหุ้นเด่นวันนี้ของเราเพราะ price pattern ที่เป็น new high ของตัวหุ้น ชี้ว่าทางเทนิคอลแล้วเป็นขาขึ้นที่แข็งแกร่ง DELTA เป็นผู้ผลิตชั้นนำระดับโลกด้านชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์พาวเวอร์ซัพพลาย ระบบบริหารจัดการพลังงาน ซึ่งจากการเป็นหุ้นส่งออกน่าจะเป็นหนึ่งในผู้ได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์ เมื่อ Janet Yellenได้ออกมาให้ความเห็นเชิงขึ้นดอกเบี้ยให้เร็วที่สุด แนวโน้มระยะยาวก็ยังหนุนจากกระแสรถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รวมถึงการขยายเสาโทรคมนาคมของค่ายมือถือซึ่งจำเป็นจะต้องมีพาวเวอร์ซัพพลายในแต่ละเสา กำไรสุทธิของบริษัทหนุนโดยผลิตภัณฑ์ชั้นสูงที่ให้มาร์จิ้นที่สูงซึ่งผลิตให้แก่ประเทศพัฒนาแล้ว รวมถึงชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับรถยนต์ซึ่งมีอุปสงค์รองรับต่อผลิตภัณฑ์ระบบควบคุมทางอิเล็กทรอนิกส์สูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกรถระดับบนที่น่าจะถูกกระทบโดยเศรษฐกิจที่ชะลอตัวน้อยกว่า ในอนาคตตัวขับเคลื่อนการเติบโตหลักน่าจะเป็น regional business ซึ่งจะผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ตัวเอง บริษัทมุ่งเน้นที่จะขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ เช่น อินเดีย ฟิลิปปินส์และอาเซียนซึ่งมีโอกาสและอุปสงค์รองรับ DELTA ได้ลงทุนตั้งศูนย์วิจัยและโรงงานผลิตในภูมิภาคเหล่านี้ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ยี่ห้อตนเพื่อผู้ใช้ปลายทางในประเทศนั้นๆ โดยตรง ช่วงเปลี่ยนผ่านจาก 2G ไป 4G ของอินเดียยิ่งน่าจะทำให้มีความต้องการบริการด้านโทรคมนาคม บริษัทยังให้บริการเชิงโซลูชั่นระดับสูงด้านพลังงานอีก จากค่าเฉลี่ยการคาดการณ์ของ Bloomberg กำไรของ DELTA น่าจะเติบโต 13% สำหรับปี 2017 และ 2018 Price Pattern ของ DELTA มีความแข็งแกร่งอย่างมากในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, & Monthly Buy Signal และเมื่อพิจารณา Price Pattern ของ DELTA ก็ได้บ่งบอกว่าจะได้เห็นการทำ New High อีกด้วย โดยมีเป้าหมายแรกเพื่อทดสอบ High เดิมที่ 98 บาท และมีเป้าหมายแรกของการทำ New High อยู่ที่ 108 บาท ตามลำดับ ทั้งนี้ DELTA มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 82.75 บาท (Resistance: 90.75, 91.75, 93.00; Support: 89.50, 88.50, 87.25)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• การใช้งบโฆษณาเดือนม.ค. หดตัว 2%โดย Nielsen Thailand รายงานภาพรวมการใช้จ่ายโฆษณาเดือนม.ค. มีการหดตัวลง 1.96% มาอยู่ที่ 8.07 พันลบ. โดยเฉพาะสื่อแมกาซีนที่เห็นการปรับตัวลดลงมากที่สุด ขณะที่การใช้จ่ายโฆษณาในภาพยนตร์มีการขยายตัวมากที่สุด (Bangkok Post)

• สมคิด ประชุมทูตพาณิชย์ผลักดันการส่งออกรองนายกฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และกระทรวงพาณิชย์กำหนดจัดประชุมทูตพาณิชย์จาก 58 สำนักงานทั่วโลกในวันที่ 20 ก.พ.นี้ เพื่อทบทวนและประเมินสถานการณ์ส่งออกของไทย รวมทั้งนำแผนผลักดันการส่งออกเชิงรุกมาชี้แจงเพื่อให้ทูตพาณิชย์นำไปดำเนินการ (Bangkok Post)ความเห็น: ถือเป็นหนึ่งในแผนของรัฐบาลเพื่อผลักดันการส่งออกให้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 3% ปีนี้

• AOT(ราคาปิด 39.00 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมาย AWS 46.00 บาท) ชี้แจงการเรียกเก็บค่าเช่าเพิ่มของกรมธนารักษ์: กรมธนารักษ์ชี้แจงว่าการปรับขึ้นค่าเช่าที่จะเรียกเก็บกับ AOT สำหรับการใช้งานของสนามบินสุวรรณภูมิ จะขึ้นอยู่กับผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาตกลงกัน เพิ่มเติมขึ้นมาจากค่าเช่าซึ่งเดิมคิดจากส่วนแบ่งรายได้ของ AOT ค่าธรรมเนียมที่เปิดเผยออกมาเป็นเพียงข้อเสนอและจะต้องต่อรองกับผู้เช่าต่อไป ยังไม่ใช่ข้อสรุป (บางกอกโพสต์)ความเห็น: เราแนะนำซื้อ AOT และคงราคาเป้าหมายที่ 46 บาท จนกว่าจะมีการชี้แจงในข้อตกลงการเช่าทรัพย์สินของหน่วยงานรัฐ แต่สมมติฐานที่เราประเมินคือ หากมีการเก็บค่าเช่าเพิ่มจาก 1.5 พันล้านบาท เป็น 5.0-5.5 พันล้านบาท ภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นก่อนอัตราภาษีจำนวน 3.5-4.0 พันล้านบาทนี้ จะทำให้ Fair Value ของ AOT ลดลงจาก 46.00 บาท เหลือ 42.50 บาท และกรณีที่เลวร้ายที่สุดหากมีการเรียกเก็บค่าเช่าย้อนหลังอีก 20.6 พันล้านบาทด้วย Fair Value จะลดลงเป็น 41.25 บาท แต่เราก็คาดว่า AOT จะมีทางออกโดยการขึ้นค่าเช่าจากผู้เช่า และขึ้นค่าบริการเพิ่มจากสายการบินและผู้ใช้สนามบินได้ เราจึงเห็นว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาได้สะท้อนข่าวร้ายนี้ไปแล้ว

• TASCO (ราคาปิด 24.20 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมาย 28 บาท) รายงานผลกำไรสุทธิปี 2559 ที่ 3.11 พันล้านบาท หรือ 2.01 บาทต่อหุ้น ลดลง 39% YoYขณะที่กำไรสุทธิไตรมาส 4/59 อยู่ที่ 893 ล้านบาท หรือ 0.58 บาทต่อหุ้น ลดลง 24%YoY แต่เพิ่มขึ้น 172%QoQ (SET)ความเห็น: ผลประกอบการที่ออกมาใกล้เคียงกับที่เราคาดการณ์ที่ 3.13 พันล้านบาท สำหรับปี 2559 และ 911 ล้านบาท สำหรับกำไรสุทธิไตรมาส 4/59 เห็นได้ว่ากำไรต่ำสุดเกิดไปแล้วในไตรมาส 3/59 แม้ว่าโดยรวมธุรกิจปี 2559 ด้อยกว่าปี 2558 ซึ่งเป็นปีที่ TASCO ทำผลงานออกมาดีที่สุด แต่เราเชื่อว่าธุรกิจของ TASCO ออกจากวงจรขาลงแล้วและมีแนวโน้มที่จะเติบโตในปี 2560 และ 2561 จากการบูมของโครงสร้างก่อสร้างพื้นฐานในประเทศและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมไปถึงสหรัฐอเมริกาที่กลับมาบูมจากนโยบายทรัมป์ด้วย เราคาดว่ากำไรจะเติบโต 18%YoY และ 14%YoY ในปี 2560 และ 2561 ตามลำดับ ราคาหุ้นในปัจจุบันซื้อขายที่เพียง 10.2 เท่า PER ในปี 2560 แนะนำซื้อด้วยราคาเป้าหมายที่ 28 บาท อิงค่า PER 12.2 เท่า ของวัสดุก่อสร้างที่เป็นสินค้าประเภทคอมมอดิตี้

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นต่อเมื่อวันพุธ โดยดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น 7 วันติดต่อกัน หนุนโดยยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งและตัวเลขเงินเฟ้อ อีกทั้งนักลงทุนยังคงมองบวกว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะปรับลดภาษีแม้ว่าที่ผ่านมาจะยังไม่มีรายละเอียดของแผนการปรับลดภาษีก็ตาม (Reuters)

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอ้างอิงสหรัฐปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ครึ่งเมื่อวันพุธ จากข้อมูลเศรษฐกิจอันแข็งแกร่งได้หนุนความคาดหวังมากขึ้นว่าเฟดใกล้จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ราคาพันธบัตรอ้างอิงอายุ 10 ปีล่าสุดปรับตัวลง 11/32 อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 2.51% ก่อนหน้านี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรได้ปรับตัวขึ้นถึงระดับ 2.52% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับแต่วันที่ 27 ม.ค. (Reuters)

• ยอดค้าปลีกสหรัฐในเดือนม.ค. เพิ่มขึ้นเกินคาด กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานยอดค้าปลีกในเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 0.4% MoM โดยได้แรงหนุนจากการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า มีการปรับตัวเลขยอดค้าปลีกในเดือนธ.ค. เป็นเพิ่มขึ้น 1.0% แทนตัวเลขก่อนหน้านี้ที่เพิ่มขึ้น 0.6% ยอดค้าปลีกที่ไม่รวมการซื้อรถยนต์ (core retail sales) ซึ่งสัมพันธ์กับการใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 0.4% ด้วยเช่นกันหลังจากที่ปรับตัวขึ้นในเดือนธ.ค. ผลสำรวจจากรอยเตอร์สระบุนักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่ายอดค้าปลีกในเดือนม.ค. จะเพิ่มขึ้น 0.1% และยอดค้าปลีกที่ไม่รวมการซื้อรถยนต์จะเพิ่มขึ้น 0.3% (Reuters)

• เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในเดือนม.ค. กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พุ่งขึ้น 0.6% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2013 และปรับตัวขึ้นต่อจากที่เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนธ.ค. เมื่อคิดเป็นฐานรายปี ดัชนีราคาผู้บริโภคปรับตัวขึ้น 2.5% เพิ่มขึ้นมากที่สุดนับแต่เดือนมี.ค. 2012 จากที่ปรับตัวขึ้น 2.1% ในเดือนธ.ค. ส่วน ดัชนี CPI พื้นฐานซึ่งไม่นับรวมราคาในหมวดอาหารและพลังงานปรับตัวขึ้น 0.3% หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนธ.ค. และปรับตัวขึ้น 2.3% YoY จากที่เพิ่มขึ้น 2.2% YoYในเดือนธ.ค. (Reuters)

ยุโรป:

• ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันพุธปรับตัวสูงขึ้นนำโดยแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคารหลัง Janet Yellenประธาน Fed มีท่าทีถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ในการประชุมกำหนดนโยบายทางการเงินรอบถัดไป (Reuters)

เอเชีย:

• ผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดนกในประเทศจีนเพิ่มขึ้นมากทำให้อาจเป็นฤดูกาลที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมา:ผู้เสียชีวิตเมื่อเดือนที่แล้วมากที่สุดถึง 79 คน จากไข้หวัดนก H7N9 ในประเทศจีน รัฐบาลกล่าวว่าความกังวลการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสในฤดูกาลนี้อาจจะเลวร้ายที่สุดเป็นประวัติการณ์ ราคาไก่ในจีนจมลงไปอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบกว่าทศวรรษ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (Reuters)

• ธุรกิจของสหรัฐฯในประเทศจีนเป็นไปได้ที่จะร้อนแรงขึ้นจากนโยบายการค้าของทรัมป์ “การร่วมมือกัน” กลายเป็นคำยอดฮิตใหม่ในชุมชนธุรกิจของสหรัฐฯ ในประเทศจีน กลุ่มผู้นำในอุตสาหกรรมกล่าวว่าพวกเขาจะต้อนรับวิธีการที่รุนแรงจากการบริหารของทรัมป์ในการมาเปิดตลาดของจีนซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นที่สองของโลก ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เลือกเลขานุการพาณิชย์และผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ เป็น นาย วิลเบอร์ รอสส์และโรเบิร์ต ไลติงเซอร์ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาได้รับการสนับสนุนหลักจากประเทศจีน จีนควรให้ผลประโยชน์กับธุรกิจอเมริกันในประเทศจีน เหมือนกับที่สหรัฐฯ เกื้อหนุนชาวจีนในประเทศสหรัฐอเมริกา(Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• ราคาทองคำเมื่อวันพุธปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าตัวเลขค้าปลีกสหรัฐฯ และเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะประกาศออกมาขยายตัวดีก็ตาม โดยราคาทองคำล่วงหน้าปรับตัวสูงขึ้น 0.6% มาอยู่ที่ 1,233.10 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำตลาดจรปรับตัวสูงขึ้น 0.6% มาอยู่ที่ 1,235.51 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์ (Reuters)

• ราคาน้ำมันดิบเมื่อวันพุธปรับตัวลดลง หลังจากตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปคงคลังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นทำระดับสูงสุดใหม่ โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ล่วงหน้าปรับตัวลดลง 0.22 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล (-0.4%) มาอยู่ที่ 55.75 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ล่วงหน้าปรับตัวลดลง 0.09 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล (-0.2%) มาอยู่ที่ 53.11 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล (Reuters)