Daily Market Outlook (15 ก.พ.60)

Daily Market Outlook (15 ก.พ.60)

Yellenส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย

คาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบแคบวันนี้โดยที่นักลงทุนน่าจะซื้อขายหุ้นอย่างระมัดระวังหลังจากประธาน Fed เจเน็ท เยลเล็น แถลงที่รัฐสภา สหรัฐ บ่งชี้ความจำเป็นที่จะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยเร็ว แม้จะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นธนาคารสหรัฐแล้วทำให้หุ้นสหรัฐปิดบวก แต่ก็ก่อให้เกิดความกังวลว่าเงินทุนจะไหลออกจากภูมิภาคเอเชียอีกระลอก อย่างไรก็ตามปัจจัยภายในประเทศวันนี้เป็นบวกโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลประกอบการจาก บจ.ที่หลายคนติดตาม PTTGC AOT และ GL ที่ออกมาดีมากและในที่สุดรัฐบาลก็ตัดสินใจเมื่อวานให้ BEM เข้าจัดการส่วนเชื่อมต่อระบบรถไฟระหว่างสถานีบางซื่อกับเตาปูนด้วยมูลค่าโครงการ 9.18 แสนล้านบาท

หุ้นเด่นวันนี้: EPG (ราคาปิด 13.20 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมาย AWS 16.00 บาท)

เราเลือกบมจ. อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป เป็นหุ้นเด่นในวันนี้เนื่องจากมองว่าราคาหุ้นที่อ่อนตัวลงวันนี้หลังประกาศผลประกอบการออกมาน่าผิดหวังจะไม่กระทบกับแนวโน้มธุรกิจที่แข็งแกร่งของ EPG ในระยะยาว โดยผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาดมีสาเหตุมาจากผลกระทบเชิงลบในช่วงไว้อาลัย รวมไปถึงค่าใช้จ่ายบางส่วนในการปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทย่อย ซึ่งมองว่าจะเป็นบวกกับบริษัทในระยะยาว แนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจของ EPG ยังคงสดใส สนับสนุนจากนวัตกรรมผ่านการวิจัยและพัฒนาของตัวเองที่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ของ EPG เหนือคู่แข่ง ปกป้องด้วยสิทธิบัตรในมือ ซึ่งช่วยให้ EPG สามารถทำการตลาดเชิงรุกได้เป็นอย่างดี สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทด้วยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำเพียง 0.2 เท่า จะช่วยสนับสนุนการเติบโตและแนวโน้มที่สดใสดังกล่าว อีกทั้งนโยบายทางภาษีของ Donald Trump ที่จะเป็นบวกต่อธุรกิจฉนวนยางของ EPG ในสหรัฐฯ นับว่าเป็น Upside ต่อประมาณการของเรา เราประมาณการการเติบโตของกำไรปกติทั้งปี 2559/60 (เม.ย. 59 – มี.ค. 60) จะอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งที่ 21% YoYและต่อเนื่องในปีหน้าที่ 20% YoY มองราคาหุ้นในปัจจุบันยังคงน่าสนใจ โดยซื้อขายที่ PER ของปีนี้และปีหน้าที่ราว 23.4 เท่า และ 19.6 เท่าตามลำดับ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER ย้อนหลังในอดีตในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่ 28 เท่า เรามองการซื้อขายในระดับ PER ที่สูงนั้นเหมาะสม ด้วย ROE และการเติบโตของกำไรสุทธิที่โดดเด่นภายใต้ความเสี่ยงที่ต่ำจากสิทธิบัตรที่มีอยู่ในมือ ในส่วนของ Price Pattern ของ EPG ยังมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิด Monthly Buy Signal เพียงแต่ในระยะสั้นนั้นคาดว่า EPG ยังอยู่ในช่วงการปรับฐานจากการเกิด Daily Sell Signal และหาก Price Pattern ของ EPG ปิดตลาดรายสัปดาห์ต่ำกว่า 13.10 บาท ก็จะกลับมาเกิดความอ่อนแอในระยะกลางเพิ่มขึ้น จากการกลับมาเกิด Weekly Sell Signal ครั้งใหม่ โดยเมื่อพิจารณา Price Pattern ของ EPG ที่สามารถ Break เป้าหมายเบื้องต้นด้วยการปิดตลาดเหนือ 13 บาทไปแล้ว จึงมีเป้าหมายถัดไปอยู่ที่ 13.50 บาท และมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 13.90 บาท ตามลำดับ (แนวต้าน: 13.40, 13.60, 13.80; แนวรับ 13.10, 12.90, 12.70)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• จดทะเบียนธุรกิจใหม่ ม.ค. แตะจุดสูงสุดรอบสี่เดือน จำนวนธุรกิจใหม่ที่จดทะเบียนใน ม.ค. เท่ากับ 6,279 สูงสุดในรอบสี่ปีและเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เป็นเพราะเศรษฐกิจฟื้นตัวและนโยบายภาครัฐที่ต่อเนื่องเพื่อสนับสนุน SME และธุรกิจสตาร์ทอัพ อย่างไรก็ตามมูลค่าทุนจดทะเบียนรวมลดลง 42% เทียบปีก่อนสู่ 1.649 หมื่น ลบ.เพราะส่วนมากจะเป็น SME ที่จดทะเบียนใหม่ซึ่งมีการลงทุนน้อยโดยเปรียบเทียบ (Bangkok Post)

• เดินหน้าโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าในเมืองใหญ่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าในเมืองใหญ่ ระยะที่ 1 ได้แก่ เชียงใหม่, นครราชสีมา, พัทยา และหาดใหญ่ วงเงินลงทุน 11,668 ลบ. เพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นคงและเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า ลดปัญหาไฟดับ ทั้งนี้รัฐบาลวางแผนจะมีอีก 8 เมืองที่ทยอยทำในลำดับต่อไป (Bangkok Post)ความเห็น: ถือเป็นบวกต่อหุ้นที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับสายไฟฟ้าและการวางระบบไฟฟ้า อาทิ CSS, CTW, GUNKUL, SCI

• AOT (39.50 บาท) รายงานกำไรสุทธิในงวด 1QFY60 ( ต.ค.-ธ.ค.59) เท่ากับ 5,084 ล้านบาทหรือกำไรต่อหุ้น 0.36 บาท (หลังแตกพาร์) เพิ่มขึ้น 10% YoYและ 18% QoQโดยไตรมาสนี้จะมีผลของมาตรการของรัฐบาลในการปราบปรามกับทัวร์ศูนย์เหรียญจากจีนส่งผลให้เกิดการลดลงของนักท่องเที่ยวชาวจีนใน 1QFY60 แต่ผลการดำเนินงานของ AOT ออกมาไม่แย่มาก เพราะได้รับการชดเชยจากการเพิ่มขึ้นของผู้โดยสารต่างประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัสเซีย และยุโรป เราเชื่อว่าผลที่ตามมาของมาตรการปราบปรามกับทัวร์ที่ผิดกฎหมายโดยรัฐบาลจะส่งผลกระทบต่อปริมาณของนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ในไม่ช้าคาดว่าตัวเลขการเติบโตของนักท่องเที่ยวและปริมาณการใช้สนามบินจะมีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้น โดยไตรมาสนี้ รายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้น 7% YoYแต่ลดลง 1% QoQมาอยู่ที่ 12,613 ล้านบาท ขณะที่ AOT สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ EBIT เพิ่มขึ้น 5% YoYและ 13% QoQ ซึ่งอัตรา EBIT margin ในช่วง ขอบ 1QFY60 อยู่ที่ 48.9% เทียบกับ 49.6% ใน 1QFY59 และ 42.6% ใน 4QFY59 (SET)ความเห็น: ช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ของปีงบประมาณของ AOT(ต.ค.-ธ.ค. และ ม.ค.-มี.ค.) ตรงกับช่วง High Season ผลประกอบการ AOT อยู่ในเกณฑ์สูง เราคาดกำไรสุทธิ FY2560 ที่ 21,845 ล้านบาท (1.53 บาทต่อหุ้น) เติบโต 10%YoY และ คาดว่าจะโตอีก 14% สำหรับปี FY2561 เป็น 25,000 ล้านบาท หรือ 1.75 บาทต่อหุ้น เราแนะนำซื้อ AOT ให้ราคาเป้าหมาย 46 บาท อิงตาม DCF ที่มีค่า WACC ที่ 9.86% ยังคงมี upside เหลือ 16.4% จากราคาเป้าหมาย

• BEM (7.05 บาท) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ผ่านมา ได้อนุมัติการก่อสร้างระบบการเดินรถไฟฟ้าช่วง 1 สถานีที่ขาดหายไประหว่าง สถานีเตาปูนกับสถานีบางซื่อ ให้ BEM เป็นผู้ดำเนินงาน ในงบประมาณ 918 ล้านบาท โดยจะเริ่มใช้ได้ในอีก 2 ปี หลังเปิดให้บริการไปเมื่อสิงหาคมปีก่อน โดย รฟม.จะเซ็นสัญญากับ BEM ในวันพฤหัสบดีนี้ ในส่วนของงบประมาณนี้ 672 ล้านบาท จะใช้สำหรับการติดตั้งระบบรถไฟและระบบการส่งสัญญาณ และอีก 104 ล้านบาทสำหรับการดำเนินงานเดินรถรถไฟสองปี และอีก 142 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายทางการเงิน (บางกอกโพสต์)ความเห็น: งานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (ส่วนขยาย) ในการเชื่อมเส้นทางกับสถานีของรถไฟฟ้าสายสีม่วง มูลค่างานขนาดเล็กไม่มีนัยยะสำคัญมากสำหรับ BEM แต่เป็นโครงการที่รอคอยให้เกิด เพื่อให้เกิดการต่อเนื่องในการอนุมัติสัญญาของงานของระบบรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (ส่วนขยาย) ที่มีมูลค่ามากถึง 80,000-100,000 ล้านบาท สำหรับ งานโยธา, ระบบรถไฟและระบบการส่งสัญญาณ รวมถึงระบบการเดินรถ ซึ่งส่วนนี้ทำให้ประโยชน์มากต่อ BEM และ CK โดย CK ก็จะได้รับเหมาช่วงงานโยธาสำหรับการเดินรถส่วนนี้ มูลค่าราว 25,000 ล้านบาท จาก BEM เราแนะนำซื้อ BEM ราคาเป้าหมาย 10.10 บาท และ CK ราคาเป้าหมาย 39.50 บาท

• GL(62.25 บ.; ซื้อ; ราคาเป้าหมาย AWS 62 บ.) รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/59 ที่ 325 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.8% QoQและ 68.4% YoYในขณะที่กำไรทั้งปี 59 อยู่ที่ 1.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 82.5% YoYหนุนโดยธุรกิจของบริษัทในต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงกัมพูชา ลาว และอินโดนีเซีย (SET)ความเห็น: ผลการดำเนินงานดังกล่าวเป็นไปตามประมาณการของเราและประมาณการของตลาด เบื้องต้น เราคาดกำไรปี 60 จะเติบโต 60% YoYแต่เราจะอัพเดตข้อมูลเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่งเนื่องจาก GL จะมีการจัดประชุมนักวิเคราะห์ในบ่ายวันนี้

• PTTGC (67.50 บ. ซื้อ ราคาเป้าหมาย AWS 72.00 บ.) รายงานกำไรสุทธิงวด 4Q59 อยู่ที่ 9.7 พันลบ. (+57% QoQ, +90% YoY) มากกว่าที่เราคาดไว้ที่ 7.6 พันลบ. และตลาดคาดไว้ที่ 7.2 พันลบ. (Bloomberg consensus) หนุนจากมาร์จิ้นที่ดีกว่าคาดของธุรกิจสายโอเลฟินส์ภายใต้การเดินเครื่องผลิตอย่างเต็มที่หลังจากที่หยุดซ่อมบำรุงไปก่อนหน้านี้ ประกอบกับการบันทึกกำไรจากผลของสต็อกในธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจอะโรมาติกส์ กำไรสุทธิทั้งปี 2559 อยู่ที่ 2.56 หมื่นลบ. ปรับตัวสูงขึ้น 22% YoY(SET)ความเห็น: เรามีแนวโน้มปรับเพิ่มประมาณการปี 2560-61 หลังจากเข้าร่วมงานประชุมนักวิเคราะห์ในวันนี้ เพื่อสะท้อนความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งของธุรกิจสายโอเลฟินส์ดังกล่าว เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ สำหรับ PTTGC

• อัตราพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวขึ้นเมื่อวันอังคาร เนื่องจากนางเยลเลนให้ความเห็นสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ราคาพันธบัตรอายุ 10 ปี ปิดลดลง 10/32 อยู่ที่ระดับ 2.47% หลังจากปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ 2.50% สูงสุดนับแต่วันที่ 3 ก.พ. เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 5-30 ปี แบนราบลงอยู่ที่ระดับ 109 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับแต่วันที่ 1 ก.พ. (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์เทียบกับสกุลเงินหลักเมื่อวันอังคารหลังจากนางเยลเลน ประธานเฟดให้ความเห็นหนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ในการซื้อขายเมื่อคืน ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลงหลังจากนายไมเคิล ฟลินน์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลาออกจากตำแหน่งจากประเด็นความขัดแย้งเกี่ยวกับรัสเซีย (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นต่อเมื่อวันอังคาร โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดติดต่อกันอีกครั้ง นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคารเนื่องจากนักลงทุนมองบวกมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นหลังจากนางเยลเลน ประธานเฟดให้ความเห็นสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย (Reuters)

ยุโรป:

• ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันอังคารทรงตัวโดยการอ่อนตัวลงของหุ้นกลุ่มยาและเภสัชและกลุ่มการบริโภคได้ชดเชยกับการปรับตัวสูงขึ้นของหุ้นในกลุ่มยานยนต์ บนประเด็นข่าวที่ PSA เจรจาซื้อกิจการ General Motors ในยุโรป หุ้นกลุ่มธนาคารมีการปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน (Reuters)

เอเชีย:

• ทรัมป์มีท่าทีอ่อนลงกับสกุลเงินญี่ปุ่น: หลังจากการหารือกันระหว่างนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันอังคารที่ผ่านมา ต่างฝ่ายก็ยอมกัน โดยทรัมป์ยินดีที่จะชะลอตัวการวิจารณ์ว่าญี่ปุ่นจัดการกับสกุลเงินของตนให้ได้รับ ได้เปรียบทางการค้า ในแถลงการณ์ร่วมหลังการประชุมสุดยอด พวกเขายืนยันความมุ่งมั่นใช้นโยบายการคลังการเงินและโครงสร้าง เพื่อเสริมสร้างดีมานด์ในประเทศและระดับโลก (Reuters)

• เศรษฐกิจของญี่ปุ่นขยายตัวในไตรมาส4/59 เป็นไตรมาสที่สี่ติดต่อกัน ขณะที่ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงช่วยสนับสนุนการส่งออก แต่การบริโภคภาคเอกชนยังเสี่ยงต่อการนโยบายปกป้องการค้าของสหรัฐฯ โดยเศรษฐกิจของญี่ปุ่นขยายตัว 1.0%ในไตรมาส 4/59 ประมาณสอดคล้องกับประมาณการตลาดที่1.1% และมีการปรับปรุงตัวเลขการขยายตัว ในไตรมาส 3/59มาเป็นเติบโต 1.4% (Reuters)

• อัตราเงินเฟ้อของจีนจะสูงขึ้นในรอบหลายปี: อัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคในเดือนมกราคมของจีนขยายตัวมากที่สุดในรอบเกือบ 3 ปีและดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นเร็วที่สุดเป็นเวลาเกือบ 5 ปีครึ่ง โดยดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 2.5% YoYในเดือนมกราคมที่สูงที่สุดตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2557 (Reuters)

• ธนาคารของจีนขยายสินเชื่อครั้งที่สองเป็นประวัติการณ์ในเดือนมกราคม: ธนาคารจีนขยายสินเชื่อ 2.03 ล้านล้านหยวน หรือ 295.74 พันล้านในการให้กู้ยืมเงินหยวนใหม่สุทธิในเดือนมกราคม ขณะที่ธนาคารกลางพยายามลดความเสี่ยงการเจริญเติบโตในตราสารหนี้ แต่การขยายตัวดังกล่าวยังน้อยกว่านักวิเคราะห์คาด แสดงให้เห็นการเติบโตของสินเชื่อจีนยังแข็งแกร่ง (Reuters)

• ราคาแร่เหล็กล่วงหน้าจีนปรับขึ้นติดต่อกันเป็นครั้งที่ 6 เมื่อวันอังคาร โดยแตะระดับสูงสุดในรอบมากกว่า 3 ปี ท่ามกลางความต้องการเหล็กจากผู้บริโภคหลักในโลกที่เพิ่มขึ้นและปริมาณที่ลดลง นอกจากนี้ ราคาแร่เหล็กตลาดจรปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยแตะระดับ 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 57 (Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• น้ำมันดิบบวกเล็กน้อยวันอังคาร เพราะอุปทานเชลออยจากสหรัฐที่เพิ่มขึ้นจำกัดความพยายามของ OPEC ที่จะลดกำลังผลิต น้ำมันดิบ Brent ล่วงหน้า บวก 38 เซนต์ปิด 55.97 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ห่างจากจุดสูงสุดของวันที่ 56.46 ดอลลาร์สหรัฐอยู่พอสมควร น้ำมันดิบสหรัฐบวก 27 เซนต์ปิด 53.20 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)

• ราคาทองคำร่วงวันอังคาร กดดันจากค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าหลัง Janet Yellenประธาน Fed ระบุว่ามีโอกาสจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้าเลยเพราะเศรษฐกิจยังขยายตัวต่อ ราคาทองคำตลาดจรลบ 0.2% ที่ 1,222.60 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองล่วงหน้าลบ 0.2% ปิด 1,223.80 ดอลลาร์สหรัฐ (Reuters)