‘พาณิชย์’ลุยเรียกค่าเสียหาย-ชงยึดทรัพย์ข้าวจีทูจี14ก.พ.

‘พาณิชย์’ลุยเรียกค่าเสียหาย-ชงยึดทรัพย์ข้าวจีทูจี14ก.พ.

"กรมการค้าต่างประเทศ" เตรียมชงเรื่องกรมบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์ “บุญทรง-พวก” รวม6คน คดีทุจริตขายข้าวจีทูจี 14 ก.พ.นี้

จากกรณีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) เตรียมดำเนินการส่งเรื่องให้กรมบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์ เรียกค่าเสียหายในการทุจริตการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และพวก รวม 6 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 2 หมื่นล้านบาทนั้น

วานนี้ (11 ก.พ.) นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี และนางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) ร่วมกันแถลงการดำเนินบังคับคดี หลังจากศาลปกครองกลางยกคำร้องนายบุญทรงกับพวก ให้ทุเลาการบังคับคดี โดยระบุว่าศาลไม่รับคำร้องเพราะการบังคับคดียังไม่เกิดขึ้นจริง เป็นเพียงการแจ้งเตือนจากกระทรวงพาณิชย์ให้ชดใช้ค่าเสียหายเท่านั้น

นางสาวรื่นวดี กล่าวภายหลังหารือร่วมกับกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ว่าที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประสานงานและทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ในการใช้มาตรการบังคับทางปกครองสืบทรัพย์ ยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ 6 รายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตขายข้าวจีทูจี

นางสาวรื่นวดี กล่าวว่า การทำงานร่วมกันไม่ได้เกิดความขัดแย้งจนเป็นเหตุให้การดำเนินคดีล่าช้า แต่ติดที่ขั้นตอนและระเบียบปฏิบัติที่จะต้องดำเนินการคดีทางแพ่ง ส่งผลให้ทางกรมบังคับคดีไม่สามารถดำเนินการได้หากโจทย์ไม่ได้มีการตั้งเรื่องเสนอมาเพื่อดำเนินการยึดอายัดทรัพย์ เนื่องจากกรมฯ เป็นเพียงหน่วยงานสนับสนุนไม่ได้มีส่วนได้เสียกับคดีดังกล่าว

ดังนั้นหากทางหน่วยงานที่เป็นโจทย์หรือทางกรมการค้าต่างประเทศดำเนินการฟ้องส่งเอกสารครบถ้วน ทางกรมฯ ก็จะสามารถดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจากการหารือเบื้องต้นทางกรมการค้าต่างประเทศจะตั้งเรื่องยึดทรัพย์ยื่นส่งมาในวันที่ 14 ก.พ.นี้ อย่างไรก็ดีสำหรับคดีแพ่งมีอายุความ 10 ปี

เตรียมส่งบังคับคดี 14 ก.พ.

“ขั้นตอนการตั้งเรื่องทางโจทย์จะต้องส่งแบบฟอร์มหนังสือมอบอำนาจยึดทรัพย์อายัดมาให้พร้อมกับสำเนาประกอบ หากมีที่ดินจะต้องลงรายละเอียด บัญชีธนาคารจะต้องรับรองจากสถาบันทางการเงินนั้นด้วย และก็จะสามารถตั้งเรื่องมายังกรมบังคับคดีได้ หลังจากนั้นจึงจะดำเนินการตามขั้นตอนตามกฎหมาย โดยกรมฯ รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการยึดทรัพย์ ที่ผ่านมาไม่ได้มีเรื่องผิดพลาดการดำเนินงาน แต่เป็นเรื่องใหม่ของทั้งคู่จึงต้องใช้เวลาศึกษา ส่วนหากพบว่าทรัพย์สินที่ต้องยึดไม่เพียงพอต่อมูลหนี้จะดำเนินการอย่างไรจะต้องกลับไปถามฝ่ายโจทก์”

นางดวงพร กล่าวว่า การดำเนินงานที่ผ่านมาทั้งสองหน่วยงานได้ประสานข้อมูลกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องใหม่ที่กรมฯไม่มีประสบการณ์มาก่อนจึงต้องใช้เวลาในการศึกษาและรวบรวมข้อมูลเพื่อรักษาผลประโยชน์ประเทศ

อย่างไรก็ตามสถานะล่าสุดกรมฯได้รับเอกสารการตั้งเรื่องยึดอายัดทรัพย์จากกรมบังคับคดีแล้ว และอยู่ระหว่างดำเนินการรวบรวมเอกสารทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะสามารถตั้งเรื่องและส่งให้กรมบังคับคดีได้ภายในวันที่ 14 ก.พ.นี้ ก่อนจะดำเนินการตามขั้นตอนทางเทคนิคต่อไป

ล่าช้าอ้างไม่มีประสบการณ์

“ยอมรับว่าคดีนี้มีความคืบหน้าช้าเพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่มีประสบการณ์ แต่ที่ผ่านมาเมื่อมีการประสานงานในขั้นตอนให้ทางกรมฯ จัดหาข้อมูลอะไร ก็ดำเนินการมาตลอดไม่ได้นิ่งนอนใจ รวมทั้งยังได้จัดตั้งทีมกฎหมายเข้ามาดูข้อมูล และศึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะมาตลอด ซึ่งตอนนี้ก็ดำเนินการมาถึงขั้นตอนเตรียมตั้งเรื่องแล้ว โดยในวันที่ 14 ก.พ.นี้ จะเป็นการตั้งเรื่องยึดทรัพย์พร้อมกันทั้ง 6 คน สำหรับประเด็นของการแถลงข่าวด่วนครั้งนี้เนื่องจากทางรัฐบาลให้ความสำคัญอย่างมาก และอยากให้ประชาชนเข้าใจขั้นตอนการดำเนินงานอย่างถูกต้อง”

ทั้งนี้ สำหรับขั้นตอนการดำเนินคดีดังกล่าวเป็นไปตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาตรา 57 ที่ให้เจ้าหน้าที่ใช้มาตรการบังคับทางปกครองยึดหรืออายัดทรัพย์สินเพื่อชำระมูลหนี้ให้ครบถ้วน โดยมีการอนุโลมให้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้ร่วมดำเนินการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนักการเมืองและอดีตข้าราชการทั้ง 6 คน ที่เข้าข่ายต้องชดใช้ค่าเสียคดีทุจริตระบายข้าวจีทูจี มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท ประกอบด้วยนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ต้องจ่ายค่าเสียหาย 1,770 ล้านบาท นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ 2,300 ล้านบาท นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายอัครพงศ์ ทีปวัชระ อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ ต้องจ่ายคนละ 4,000 ล้านบาท

จี้รบ.แจงคืบหน้า“ยึดทรัพย์”

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า หลังจากที่มีความชัดเจนกรณีศาลปกครองกลางไม่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และพวก กรณีที่กระทรวงพาณิชย์ออกมาตรการบังคับทางปกครองเพื่อยึดและอายัดทรัพย์ กรณีค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบจีทูจี

จากนี้ไป ก็เป็นหน้าที่ของกรมบังคับคดี ที่จะดำเนินการจนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นของศาลปกครองตามมา โดยข้อสังเกตต่อกรณีดังกล่าวดังนี้

1.แม้การยึดและอายัดทรัพย์ดังกล่าวอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของกรมบังคับคดี แต่นายกรัฐมนตรีก็ต้องควบคุมกำกับให้ดำเนินการด้วยความรวดเร็วหลังจากที่ล่าช้ามาในช่วงแรก

2.เนื่องจากมีกลุ่มบุคคลพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงและวงเงินรวมมีปริมาณสูงถึง 20,000 ล้านบาท กระบวนการยึดและอายัดทรัพย์ของบุคคลแต่ละราย รัฐบาลควรชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบถึงทรัพย์สินดังกล่าวของแต่ละราย ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินการ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส

3.สิ่งสำคัญที่สุด คือการชี้แจงข้อเท็จจริงตลอดจนความคืบหน้าให้ประชาชนทราบเป็นระยะ เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยปกป้องรัฐบาล

4.ถ้าเทียบเคียงคดีของนายบุญทรง และคดีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ พอที่จะคาดการณ์ได้ว่า ผลการพิจารณาคดีของนางสาวยิ่งลักษณ์ จะออกมาเช่นไร รัฐบาลจึงต้องทำงานหนักในการชี้แจงคดีของนางสาวยิ่งลักษณ์ เพิ่มเป็นสองเท่า เพราะถ้าไม่ชี้แจงจะทำให้รัฐบาลเป็นฝ่ายเสียหายได้

5.ในระหว่างที่การยึดและอายัดทรัพย์ล่าช้าช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลควรที่จะตรวจสอบด้วยว่าแต่ละท่านมีการยักย้ายถ่ายโอนทรัพย์หรือไม่