Daily Market Outlook (10 ก.พ.60)

Daily Market Outlook (10 ก.พ.60)

Trump กำลังจะลดภาษี

คาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นวันนี้ตามดัชนีหลัก 3 ตัวของตลาดสหรัฐที่ขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่กันถ้วนหน้าหลังจากที่ประธานาธิบดี Trump กล่าวว่าจะประกาศแผนปฏิรูปภาษีเพื่อลดภาระให้แก่ธุรกิจสหรัฐใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า ตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและผลประกอบการบริษัทสหรัฐและยุโรปที่ออกมาดีเป็นปัจจัยบวกเพิ่มเข้ามา ปัจจัยภายในประเทศก็เป็นบวกเช่นกัน ธปท.คาดอุปสงค์สินเชื่อเพิ่มขึ้นปีนี้จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว รัฐบาลเร่งอนุมัติรถไฟฟ้า 5 โครงการมูลค่ารวม 2.85 แสนล้านบาทภายในครึ่งแรกของปีนี้ เมื่อวานเพิ่งจะมีการลงนามในสัญญาก่อสร้างรถไฟ MRT สายสีส้มมูลค่า 7.9 หมื่นล้านบาท

หุ้นเด่นวันนี้: ROBINS (60.00 บาท; NR, ราคาเป้าหมาย Bloomberg 68.10 บาท)บมจ.ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน เป็นหนึ่งในผู้ได้ประโยชน์หลักจากการฟื้นตัวของการบริโภคภาค

ครัวเรือนในประเทศ เป็นผลจากตลาดแรงงานที่ดีขึ้นเพราะมาตรการของรัฐหนุนผู้มีรายได้น้อยและการเพิ่มขึ้นของรายได้เกษตรกรอย่างต่อเนื่องหลังจากภาวะภัยแล้งที่ยืดเยื้อซึ่งสิ้นสุดเมื่อไตรมาส 2/59 สำหรับปี 60 นี้ ภาคค้าปลีกน่าจะได้รับประโยชน์จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ดีขึ้นเพราะโครงสร้างภาษีเงินได้ใหม่ที่ให้ลดหย่อนภาษีได้มากขึ้นและหมดภาระหนี้จากโครงการรถคันแรก กลยุทธ์ของบริษัทเพื่อเพิ่มสัดส่วนของสินค้าประเภท international และ house brand น่าจะเพิ่มยอดขายร้านเดิม (SSS) และอัตรากำไรโดยเฉลี่ยได้ ขณะเดียวกันกลยุทธ์ที่เปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่องจะช่วยกระตุ้นยอดขายใหม่ได้ ในไตรมาส 3/59 ROBINS ได้เปิดไลฟ์สไตล์มอลล์สาขาใหม่ที่นครศรีธรรมราชที่มีพื้นที่พาณิชย์ให้เช่าเพิ่มเติมจากส่วนของห้างสรรพสินค้า การเปิดสาขาลพบุรีในไตรมาส 4/59 ทำให้จำนวนสาขาทั้งหมดเป็น 44 สาขาบวกสองสาขาที่เวียดนามในช่วงสิ้นปี 59 ปีนี้ บริษัทเตรียมเปิดสาขาเพิ่มอีก 3 สาขาซึ่งจะมีไลฟ์สไตล์มอลล์ประมาณ 1-2 สาขาด้วย แม้กำลังซื้อของผู้บริโภคจะถูกกระทบบ้างโดยอุทกภัยในภาคใต้ 12 จังหวัด แต่เราเชื่อว่าน่าจะเป็นเพียงชั่วคราวและผลลบไม่น่าจะกระทบกำไรทั้งปี 60 ของ ROBINS อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อพิจารณามาตรการของรัฐที่เร่งรัดและเพียงพอ จากค่าเฉลี่ย Bloomberg กำไรสุทธิของ ROBINS คาดว่าจะเติบโต 19% ใน ปี 59 และ 15% สำหรับปี 60 และ 61 Price Pattern ของ ROBINS ยังคงมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิด Monthly Buy Signal และมีความแข็งแกร่งในระยะสั้นจากการเกิด Daily Buy Signal แม้ว่าจะยังมีความอ่อนแอในระยะกลางจากการเกิด Weekly Sell Signal อยู่ก็ตาม มีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 65 บาท ทั้งนี้ ROBINS มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 58.50 บาท (แนวต้าน: 60.25, 60.50, 60.75; แนวรับ: 59.75, 59.50, 59.25)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• ธปท. คาดสินเชื่อธนาคารฟื้นตัว หักหัวขึ้นจากที่เติบโตช้าแค่ 2% ในปี 59 หนุนโดยการเพิ่มขึ้นของความต้องการสินเชื่อของการลงทุนภาคเอกชนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ (Bangkok Post)ความเห็น: สอดคล้องกับคาดการณ์ของเรา สำหรับธนาคารเก้าแห่งที่อยู่ในตลาดหุ้น เราคาดว่าสินเชื่อน่าจะโต 7.8% ในปีนี้และเร่งเป็น 11.3% ในปี 61

• รองนายกฯ สมคิดผลักดันรถไฟฟ้า 5 สายเข้าครม. ภายในช่วงครึ่งปีแรกปีนี้ หลังจากที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) วานนี้ได้ลงนามสัญญาก่อสร้างงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออกกับบริษัทผู้รับจ้างที่ผ่านการคัดเลือกด้านราคาทั้ง 6 สัญญา มูลค่างานรวม 7.9 หมื่นลบ. นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่ากระทรวงคมนาคมเตรียมผลักดันแผนรถไฟฟ้าอีก 5 เส้นทางที่เหลือมูลค่ารวม 2.85 แสนลบ. เพื่อเสนอครม. ภายในครึ่งปีแรกนี้ ประกอบไปด้วยรถไฟฟ้าสายสีม่วงส่วนต่อขยาย สายสีส้มตะวันตก สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย สายสีเขียวเข้มช่วงสมุทรปราการ-บางปู และสายสีเขียวเข้ม ช่วงคูคต-ลำลูกกา (Bangkok Post/ InfoQuest)

• CK (Bt28.75) และ STEC (26.25 บาท): กิจการร่วมค้า ซีเคเอสที ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง CK (ถือหุ้น 60%) และ STEC (40% ถือหุ้น) ได้ลงนามเป็นผู้รับจ้างในสัญญางานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม(ตะวันออก) เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2560 จำนวน 3 สัญญา จากทั้งหมด 6 สัญญา มูลค่ารวม 47,000 ล้านบาท จากมูลค่างานโยธาทั้ง 6 สัญญาของรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันออก) ทั้งหมดราว 79,000 ล้านบาท (SET) ความเห็น: การเซ็นต์สัญญาครั้งนี้จะเพิ่ม Backlog ให้ CK 28,000 ล้านบาท จากงานในมือของ CK ที่มีอยู่รวม 77,000 ล้านบาท และ STEC เพิ่มยอด Backlog จากงานนี้ได้ 19,000 ล้านบาท จะเห็นว่าในปี 2560 จะเป็นปีที่ผู้รับเหมาใหญ่ 4 ราย คือ CK, ITD, STEC และ UNIQ จะอยู่ในการเร่งเพิ่ม backlogs ซึ่งเป็นผลดีกับรายได้ในอนาคตข้างหน้าของบริษัท เรายังคงแนะนำซื้อ CK (ราคาเป้าหมาย 39.50 บาท) และ UNIQ (ราคาเป้าหมาย 25.50 บาท) และแนะนำถือ STEC (ราคาเป้าหมาย 28 บาท)

• ส่งเรื่องจุดเชื่อมต่อ 1 กม. ระหว่างสถานีบางซื่อของสายสีน้ำเงินกับสถานีเตาปูนของสายสีม่วงให้ ครม. พิจารณาสัปดาห์หน้า รองนายกฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์กล่าว (InfoQuest)

ต่างประเทศ:

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวขึ้นเมื่อวันพฤหัส หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์เปิดเผยว่าเขาจะประกาศแผนการปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า ราคาพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับตัวลง 16/32 อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 2.393% เพิ่มขึ้นกว่า 5 bps เทียบกับเมื่อวันพุธ (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อวันพฤหัส โดยปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบวันในช่วง 3 สัปดาห์ หลังจากทรัมป์เผยว่าเขาจะประกาศแผนการปรับลดภาษี และยังได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่ง ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้น 1.2% เทียบกับเงินเยนที่ระดับ 113.27 เยน เงินยูโรอ่อนค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยปรับตัวลง 0.4% สู่ระดับ 1.0656 ดอลลาร์สหรัฐ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้น 0.4% อยู่ที่ระดับ 100.64 ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้นกว่า 5% เทียบกับสกุลเงินหลักในช่วง 1 เดือนครึ่งหลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐแต่ยังเป็นแนวโน้มขาลงในปีนี้เนื่องจากทรัมป์เน้นไปที่การค้าและการอพยพเข้าเมืองมากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้นโยบายการคลัง (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันพฤหัส หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เผยว่าเขาจะประกาศแผนปรับลดภาษีครั้งใหญ่ในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า ทรัมป์ได้เปิดเผยในระหว่างการประชุมกับผู้บริหารของสายการบินที่ทำเนียบขาวว่า “การปรับลดภาระภาษีโดยรวมสำหรับภาคธุรกิจของสหรัฐถือเป็นเรื่องใหญ่” อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ไม่ได้ระบุว่าการประกาศดังกล่าวจะปรับลดภาษีอะไรบ้าง (Reuters)

• กำไรสุทธิไตรมาส 4/59ของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 8.5% จาก 8.1 % เมื่อวันจันทร์ โดย 70% ของบริษัทที่อยู่ใน S&P500 ที่ได้รายงานผลประกอบการ จากข้อมูลของ Thomson Reuters I/B/E/S ซึ่งคาดว่าจะเป็นผลการดำเนินงานดีที่สุดนับแต่ไตรมาส 3/57 (Reuters)

• ศาลอุทธรณ์สหรัฐพิพากษายืนในการระงับคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นเอกฉันท์ ในการห้ามพลเมืองจาก 7 ประเทศมุสลิมเข้าสหรัฐเพื่อป้องกันการเข้ามาในสหรัฐของผู้ก่อการร้าย ศาลอุทธรณ์เปิดเผยว่ารัฐบาลไม่ได้แสดงหลักฐานว่าก่อนหน้านี้บุคคลจากประเทศเหล่านี้ก่อการร้ายในสหรัฐอย่างไร ศาลสูงสุดแห่งสหรัฐ (Supreme Court) มีแนวโน้มจะเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดในคดีดังกล่าว (Reuters)

• การขอรับสวัสดิการว่างงานสัปดาห์ที่ผ่านมาร่วงใกล้จุดต่ำสุดในรอบ 43 ปี โดยลดลง 12,000 รายอยู่ที่ 234,000 ราย ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 4 ก.พ. ซึ่งตัวเลขดังกล่าวอยู่ต่ำกว่าระดับ 300,000 ราย เป็นเวลา 101 สัปดาห์ติดต่อกันแล้ว นับว่ายาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2513 บ่งบอกถึงตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง (Reuters)

• สต็อกค้าส่งและยอดขายสหรัฐเพิ่มขึ้นในเดือน ธ.ค. สต็อกค้าส่งเพิ่มขึ้น 1% ใน ธ.ค. หลังขึ้นมาแบบเดียวกันแล้วใน พ.ย. มีการสะสมสต็อกเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง สัญญาณความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจเพราะอุปสงค์ภายในประเทศแข็งแกร่งขึ้น ยอดสต็อกค้าส่งไม่รวมยานยนต์ ซึ่งถือเป็นส่วนของสต็อกค้าส่งที่นำไปคำนวณรวมใน GDP เพิ่มขึ้น 0.9% ใน ธ.ค. และยอดขายของผู้ค้าปลีกก็ยังเพิ่มขึ้น 2.6% ใน ธ.ค. เพิ่มมากสุดนับแต่ มี.ค. 54 หลังเพิ่มขึ้น 0.5% ใน พ.ย. (Reuters)

ยุโรป:

• ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันพฤหัสบดีปรับตัวสูงขึ้น สู่ระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ โดยยังคงได้หนุนจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน นำโดยหุ้นธนาคาร SocieteGeneraleและหุ้นน้ำมันรายใหญ่ Total (Reuters))

เอเชีย:

• ราคาขายส่งของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น YoYเป็นแรก: ราคาขายส่งญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 0.5% YTD ถึงเดือนมกราคม เป็นการเพิ่มขึ้น YoYครั้งแรกในรอบเกือบสองปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้านี้เพิ่มขึ้น 0.6% (Reuters)

• ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ยังคงมี Downside: รองผู้ว่า BOJ นาย Hiroshi Nakasoกล่าวเกี่ยวกับความเสี่ยงถึงแนวโน้มเศรษฐกิจและราคาสินค้าของญี่ปุ่นว่ามี downside, การส่งสัญญาณว่าอาจจะมีการแก้ปัญหาของธนาคารด้วยการกระตุ้นทางการเงินขนาดใหญ่ (Reuters)

• ทรัมป์ค้านการควบคุมของญี่ปุ่นในหมู่เกาะที่เป็นกรณีพิพาทกัน: Donald Trump จะต่อต้านการประกาศฝ่ายเดียวที่จะส่งผลเสียจากการบริหารงานของญี่ปุ่นในหมู่เกาะที่เป็นกรณีพิพาทในทะเลจีนตะวันออก ระหว่างจีนและญี่ปุ่น รวมทั้งหมู่เกาะที่รู้จักกันในชื่อ Senkakuในประเทศญี่ปุ่นและ Diaoyuในประเทศจีน (Reuters)

• เงินทุนไหลไปตลาดเกิดใหม่จะเป็นค่าลบในปี 2560 เป็นปีที่สี่ติดต่อกัน จากการไหลออกของเงินจำนวนมากจากประเทศจีน ตามแถลงของสถาบันการเงินระหว่างประเทศกล่าวในรายงาน IIF ว่าประมาณกาว่ามีเงินไหลออกจากกลุ่มของ 25 ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในตลาดรวม 490 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีนี้ คาดว่าจีนจะมี เงินไหลอีกสุทธิรวม 560 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เงินทุนไหลออกสุทธิของประเทศจีนจะยังคงได้แรงหนุนจากการกระจายความมั่งคั่งของพวกเขาในที่อยู่อาศัย ไม่รวมจีน และตลาดเกิดใหม่อื่น ที่จะดึงดูดเงินทุนไหลเข้า 70 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเกือบสองเท่าของปี 2559 (Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• น้ำมันดิบยังบวกวันพฤหัส เพราะเบนซินถูกหนุนโดยการลดลงของสต็อกเบนซินสหรัฐบ่งชี้ว่าอุปสงค์น้ำมันดิบในสหรัฐซึ่งเป็นผู้ใช้น้ำมันมากสุดในโลกดีขึ้น แม้อุปทานน้ำมันดิบที่ยังอิ่มตัวจะหมายถึงแรงกดดันต่อตลาดน้ำมันก็ตาม น้ำมันดิบ Brent บวก 35 เซนต์หรือ ปิด 55.47 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบสหรัฐบวก 55 เซนต์ปิด 52.89 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)

• ราคาทองคำร่วงวันพฤหัส จากจุดสูงสุดใหม่ในรอบสามเดือนหลังตัวเลขสหรัฐออกมาแข็งแกร่งทำให้ Fed มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐมากขึ้น ราคาทองคำตลาดจรปิดบวก 0.6% ที่ 1,234.36 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองคำล่วงหน้าร่วง 0.3% ปิด 1,235.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ด้วย (Reuters)