เปิดโครงสร้างคกก.ปรองดอง เปิด11ประเด็นหารือ

เปิดโครงสร้างคกก.ปรองดอง เปิด11ประเด็นหารือ

โฆษก กห. เปิดโครงสร้าง คณะอนุกรรมการปรองดอง กำหนด 11 หัวข้อประเด็นหารือ ก่อนตกผลึกส่งนายกรัฐมนตรี

พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ หลังการประชุม คณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง โดยมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ว่า วันนี้ในที่ประชุมได้แจ้งคำสั่ง แต่งตั้งคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ให้คณะกรรมการทุกท่านได้รับทราบ และได้ชี้แจงในรายละเอียด อำนาจหน้าที่ พร้อมหารือกรอบแนวทางการทำงาน

พล.ต.คงชีพ กล่าวว่า คณะกรรมการในที่ประชุมได้มีความเห็นร่วมกัน ว่าจะต้องตั้งอนุกรรมการขึ้นมา 4 คณะ ประกอบด้วย 1.คณะอนุกรรมการด้านรับฟังความคิดเห็น มี พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน โดยมีรองผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนกระทรวงกลาโหม เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ 2.คณะอนุกรรมการบูรณาการ ข้อคิดเห็นและเสนอแนะ ซึ่งมีพล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัต ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) เป็นประธาน โดยมีผู้อำนวยการศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์ เป็นกรรมการและเลขานุการ 3.คณะอนุกรรมการจัดทำข้อเสนอกระบวนการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง มีพล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสารท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นประธาน พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสารท รองผบ.ทบ. เป็นรองประธานอนุฯ มีพล.อ.สสิน ทองภักดี เสนาธิการทหารบก เป็นกรรมการ และ เลขานุการ และ 4.อนุกรรมการด้านประชาสัมพันธ์ มีโฆษกกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน และมีผู้อำนวยการกองประชาสัมพันธ์ มีผู้อำนวยการสำนักงานเลขานุการ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นเลขานุการ

พล.ต.คงชีพ กล่าวต่อว่า สำหรับกรอบการทำงานของคณะอนุกรรมการ ด้านรับฟังความคิดเห็น จะเชิญพรรคการเมืองทุกพรรค ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย มาแสดงความคิดเห็นร่วมกัน เพื่อเสนอแนะในความคิดที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ร่วมกัน โดยจะมีการเปิดเวทีสาธารณะ เพื่อให้ทุกกลุ่มทุกฝ่าย และผู้มีส่วนได้เสีย ได้มีเวทีในการพูดคุยและหารือกัน อาทิ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กกปส.) รวมถึงกลุ่มสมัชชาเกษตรกร และกลุ่มแรงงานต่างๆ ตลอดจนองค์กรสื่อมวลชน

พล.ต.คงชีพ กล่าวว่า หลังจากคณะทำงานชุดนี้ทำงานเสร็จแล้วก็จะส่งข้อเท็จจริงจากการพูดคุย ไปให้ทางคณะอนุกรรมการบูรณาการ ข้อคิดเห็นและเสนอแนะ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ จากผู้แทนเหล่าทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และนักวิชาการ จำนวน 9 คน ร่วมเป็นคณะอนุกรรมการ ประกอบด้วย รศ.ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ศ.ดร.ผาสุข พงษ์ไพจิต นายวรวิทย์ วงษ์สุวรรณ รศ.ทองอิน วงศ์โสธร ศ.กิติตคุณ สุภางค์ จันทวานิช ศ.ดร.จุลชีพ ชินวรรณโณ รศ.ตระกูล มีชัย และศ.ดร. ปาริชาต สถาปิตานนท์ ในการรวบรวมข้อเสนอแนะทั้งหมด และสังเคราะห์ข้อมูล เพื่อเตรียมการปฏิรูป

พล.ต.คงชีพ กล่าวว่า จากนั้นส่งไปให้คณะอนุกรรมการจัดทำข้อเสนอกระบวนการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ศ.ดร. สมคิด เลิศไพฑูรย์ และศ.ดร.นันทวัฒน์ ปรมนันท์ เป็นที่ปรึกษา และอนุกรรมการ โดยมีนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน ประกอบด้วย ศ.ดร.ศุภชัย ยาวะประภาษะ ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ รศ.ดร.จุฑารัตน์ เอื้ออำนวย ผศ.ดร.ธนวรรธ์ พลวิชัย ศ.ดร.จรัล มะลูลีม ศ.กิกิตคุณ ดร.อมรา พงศาพิชญ์ นายสุรินทร์ จิรวิศิษฏ์ และศ.ดร.ปาริชาต สถาปิตานนท์ นอกจากนี้ยังมีผู้แทนสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้แทนกองบัญชาการกองทัพไทย และผู้แทนเหล่าทัพ ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตลอดจนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ โดยมี พล.อ.สสิน ทองภักดี เสนาธิการทหารบก เป็นอนุกรรมการ และเลขานุการ

พล.ต.คงชีพ กล่าวว่า ส่วนผู้แทนกระทรวงต่างๆ ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวง และสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิงแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ สถาบันพระปกเกล้า และศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ศปป.) ซึ่งผู้แทนดังกล่าวเราเชิญมาเป็นกรรมการทุกๆชุดด้วย

พล.ต.คงชีพ กล่าวต่อว่า กระบวนการทำงานนั้นมีแนวทางเริ่มจากคณะชุดแรกจะรับฟังความคิดเห็น โดยเชิญพรรคการเมืองภาคส่วนต่างๆ ซึ่งจะทำควบคู่กันไปกับส่วนกลาง โดยจะใช้ศาลาว่าการะทรวงกลาโหม เป็นที่พูดคุยเสนอความคิดเห็น โดยมีการจัดพื้นที่เป็นห้องโถงใหญ่ จัดเป็นโต๊ะกลมขนาด 20 ที่นั่ง เชิญฝ่ายที่ให้ความแสดงความคิดเห็น 10 คน และฝ่ายที่รับฟังความคิดเห็น 10 คน และในส่วนภูมิภาคตามพื้นที่ต่างๆจะให้ทางแม่ทัพภาคที่1 - 4 และผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 - 9 ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัด รับผิดชอบ เพื่อรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย อย่างเปิดกว้าง และสร้างสรรค์

พล.ต.คงชีพ กล่าวว่า หลังจากได้รับข้อมูลในทุกภาคส่วน ที่มาให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะทั้งหมดแล้ว เราจะนำมา ปรับปรุงร่างความเห็นร่วมทั้งให้สมบูรณ์ จากนั้นจะเปิดเวทีสาธารณะด้วยการเชิญทุกภาคส่วน และภาคประชาชนมารับฟัง และรับรู้ เพื่อดำเนินการปรับปรุงร่างสัญญาประชาคมความเห็นร่วมครั้งสุดท้าย ขณะเดียวกันเมื่อได้ร่างสัญญาประชาคมสมบูรณ์แล้วจะเสนอให้ คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความปรองดอง (ปยป.) ผ่านนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขานุการ ปยป. เสนอ นายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป อย่างไรก็ตามการดำเนินการเราน่าที่จะเริ่มดำเนินการในที่ 14 ก.พ. เป็นต้นไป

พล.ต.คงชีพ กล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นหารือมีทั้งหมด 10 หัวข้อ ประกอบด้วย 1.ด้านการเมือง การแก้ปัญหาโดยสันติวิธีเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งในสังคมไทยขึ้นอีก ทั้งก่อน ระหว่างและหลังการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ 2.ด้านความเหลื่อมล้ำ เช่น การครอบครองที่ดินทำกินของเกษตรกร การเข้าถึงแหล่งน้า มักถูกยกมาเป็นประเด็นสร้างความขัดแย้งอย่างกว้างขวาง จะมีการพูดถึงแนวทางในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้า เพื่อลดความขัดแย้ง และสร้างความปรองดองในสังคมไทย 3.ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เพื่อไม่ให้มีความเสี่ยงต่อการขยายไปสู่ความขัดแย้ง จะมีทางออกหรือวิธีการดำเนินการ ต่อประเด็นความขัดแย้งที่เกิดจากความไม่ยอมรับในกระบวนการยุติธรรม การแทรกแซงการบังคับใช้กฎหมายอย่างไร 4.มีแนวทางเสริมสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ต่อประเด็นความแตกต่างทางสังคม ความเชื่อ ศาสนา วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การศึกษา และสาธารณสุข

พล.ต.คงชีพ กล่าวว่า 5. แนวทางไม่ให้ใช้สื่อเป็นเครื่องมือสร้างความขัดแย้งได้อย่างไร 6.มีแนวทางที่จะทาให้การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เช่น ความขัดแย้งเรื่องพลังงาน การก่อสร้างโรงไฟฟ้า ฯลฯ ไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาสร้างความขัดแย้งในสังคมได้อย่างไร 7. มีแนวคิดที่จะดำเนินการต่อประเด็นการนาปัญหากิจการภายในประเทศมายกระดับให้เป็นปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ รวมทั้งผลกระทบจากการดำเนินการของต่างประเทศ เช่น ปัญหาเขตแดน ปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน ปัญหาเสรีภาพและประชาธิปไตย ปัญหาแรงงานและการค้ามนุษย์ ฯลฯ ที่ส่งผลทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมไทยอย่างไร 8.มีแนวคิดอย่างไร ที่จะป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่น เพื่อไม่ให้เป็นสาเหตุนามาซึ่งความขัดแย้ง ในสังคมไทย 9.ด้านการปฏิรูป มีข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปอย่างไร เพื่อให้เกิดความสามัคคีปรองดอง 10.มีข้อเสนอแนะให้เกิดการยอมรับและร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ไปสู่ความสำเร็จร่วมกัน หรือไปสู่เป้าหมายร่วมกันอย่างไร นอกจากนั้น ยังมีข้อเสนอจากคณะกรรมการฝากเพิ่มเติมในวันนี้เป็นข้อที่ 11 คือ มองปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร และจะแก้ไขปัญหาอย่างไร

“คณะกรรมการปรองดองชุดนี้รัฐบาลมีความจริงใจ และตั้งใจจริงที่จะสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม โดยมองไปที่ผลประโยชน์ส่วนรวม และประเทศชาติเป็นสำคัญ ซึ่งการดำเนินการจะทำอย่างสร้างสรรค์ เป็นกลาง โดยมีจุดยืนคือการรับฟังความคิดเห็น เพราะฉะนั้นความสำเร็จจะมีได้ ต้องขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมในการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน และทุกฝ่าย ผมขอย้ำว่ากระบวนการดังกล่าวมีประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของ ไม่ใช่ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และขอให้เชื่อมั่น และไว้กัน โดยปราศจากเงื่อนไข และอคติ เราเปิดโอกาส และให้โอกาสในการรับฟังความคิดเห็น ครอบคลุมทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง รับฟังด้วยความจริงใจเป็นธรรมทุกฝ่ายไม่เลือกปฏิบัติ ขณะเดียวกันก็เปิดพื้นที่ให้ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเวทีระดับภูมิภาคควบคู่กันไป ซึ่งทุกท่านสามารถส่งข้อมูลข้อคิดเห็นในพื้น และส่วนกลางได้ตลอดเวลา โดยเราไม่ละเลยผลการศึกษาที่ผ่านมาใช้เป็นแนวทางสร้างความปรองดองร่วมกัน” พล.ต.คงชีพ กล่าว

พล.ต.คงชีพ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้คิดว่าเราทุกคนอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน วันนี้ปัญหาความขัดแย้งยุติด้วยคนไทยทุกคนที่อยู่ในบ้านหลังนี้ เพราะกระบวนการปรองดองได้เริ่มขึ้นแล้ว เพราะบรรยากาศสร้างความปรองดองในเดือนกุมภาพันธ์ ที่เป็นเดือนแห่งความรัก ตนอยากให้สื่อมวลชวนร่วมสร้างบรรยากาศความปรองดองครั้งนี้ด้วยการนำเสนอข้อมูลอย่างสร้างสรรค์ ไม่ขยายความขัดแย้งประเด็นเล็กน้อยมาเป็นประเด็นสังคม ทั้งนี้ขอย้ำว่า หัวข้อที่พูดคุยกัน 10 ประเด็น โดยเฉพาะเรื่องกฎหมายทางคณะกรรมการจะรับฟังทุกปัญหา ทุกเงื่อนไขของกฎหมาย แต่จะไม่เกี่ยวข้องกับการนิรโทษกรรม และอภัยโทษ สำหรับกรอบระยะเวลาทางคณะกรรมการฯตั้งกรอบไว้ 3 เดือน ซึ่งเราพยายามจะรับฟังและเข้าสู่กระบวนการจัดทำร่างความคิดเห็นร่วม และการเปิดเวทีสาธารณะ เพื่อเอาความคิดเห็นร่วมให้ประชาชนรับทราบ และเข้าใจ ก่อนปรับร่างความเห็นร่วมเป็นสัญญาประชาคม