คาดหุ้นไทย 'พีคเม.ย.' แตะ1,630 จุด

คาดหุ้นไทย 'พีคเม.ย.' แตะ1,630 จุด

"บล.ทิสโก้" คาดหุ้นไทยพีคเดือนเม.ย. ดัชนีแตะ1,630 จุด

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยดูเหมือนจะยังสดใสต่อเนื่อง แต่ระหว่างนี้อาจเป็นจังหวะของการปรับพอร์ตลงทุนของตัวเอง เนื่องจากนักวิเคราะห์ประเมินว่า ดัชนีหุ้นไทยจะแต่จุดสูงสุดในเดือนเม.ย.นี้

วิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ มองว่า แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยช่วงครึ่งแรกของปีนี้น่าจะขึ้นไปสูงสุดช่วงเดือน เม.เนื่องจากเป็นช่วงที่บริษัทจดทะเบียนจะรายงานกำไรไตรมาส 1/2560 ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตดีเมื่อเทียบกับปีก่อน ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อีกทั้งยังเป็นช่วงที่บริษัทต่างๆ ทยอยจ่ายเงินปันผลไปจนถึงช่วงเวลานั้น

ขณะเดียวกันคาดหวังว่านโยบายของทรัมป์ โดยเฉพาะในเรื่องของการลดภาษีนิติบุคคลน่าจะชัดเจนในช่วงนั้น คาดว่าระยะแรกจะลดจาก 35% เหลือ 25%

หลังจากเดือน เม.. คาดว่านักลงทุนจะเริ่มปรับพอร์ตการลงทุนอีกครั้ง ทำให้หุ้นมีโอกาสจบรอบระยะสั้นช่วงเดือน เม.ย. โดยจะเห็นการสลับการลงทุนจากกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นมาเมื่อปีก่อน อย่างพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์ ไปสู่กลุ่มที่ยังปรับตัวขึ้นได้ต่ำกว่าตลาด อาทิ ธนาคารพาณิชย์ สื่อสาร อสังหาริมทรัพย์ และรับเหมาก่อสร้าง”

จากสถิติ 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า ผลตอบแทนหุ้นไทยช่วงเดือน ก.ถึง เม.. โดยเฉลี่ยเป็นบวก 3.4% ด้วยความน่าจะเป็นสูงถึง 90% เว้นเพียงปีเดียวที่ให้ผลตอบแทนเป็นลบ คือปี 2552 ซึ่งเกิดวิกฤติเลย์แมน บราเธอร์ส ขณะที่เดือน พ.ค. มักจะเห็นการขายทำกำไรออกมา ซึ่งก็มีโอกาสจะเป็นเช่นนั้นในปีนี้

ส่วนช่วงครึ่งปีหลัง เชื่อว่า ตลาดหุ้นจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ด้วยแรงหนุนของหุ้นในกลุ่มที่ยังปรับตัวขึ้นได้ไม่มากอย่างที่กล่าวไปนี้ และดัชนีตลาดน่าจะปรับตัวขึ้นไปสู่เป้าหมายสิ้นปีที่มองไว้บริเวณ 1,650 จุด แต่หากเกิดเป็นภาวะฟองสบู่ อาจจะปรับขึ้นไปได้ถึง 1,700 จุด

“การใช้คำว่า ฟองสบู่เป็นเพราะว่า ขณะนี้เงินลงทุนยังอยู่ในระบบค่อนข้างมาก และประมาณ 60% อยู่ในตลาดพันธบัตร ซึ่งปีนี้มีแนวโน้มว่าเงินจะไหลออกจากตลาดพันธบัตรจำนวนมาก เพราะแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เมื่อเงินทุนเหล่านี้ไหลออกมาและขาดที่ไป ก็คงต้องไหลเข้ามาลงทุนในหุ้น ส่วนความกังวลว่าจะเกิดภาวะฟองสบู่แตกหรือไม่นั้น เชื่อว่าแม้มูลค่าหุ้นอาจจะไม่ถูกนัก แต่ยังไม่ถึงจุดที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น เพราะเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มเติบโตต่อไปได้ในระยะถัดจากนี้”

ขณะที่ ไพบูลย์ นลินทรางกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ มองว่า ตลาดหุ้นไทยปีนี้ยังมีความน่าสนใจ แม้ดัชนีจะอยู่ในระดับเริ่มสูง แต่มองว่าจะสามารถปรับตัวขึ้นต่อไปได้อีก จากแนวโน้มกำไรสุทธิ (EPS) ของตลาดหุ้นไทยที่ยังเป็นขาขึ้นโดยในปีนี้คาดอยู่ที่ 107 บาท และปี 2561 ที่ 119 บาท รวมถึงสภาพคล่องที่ยังมีอยู่มากจากเม็ดเงินตราสารหนี้ที่จะไหลเข้ามายังตลาดหุ้น

ทิศทางดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นขณะนี้ ยังไม่น่ากังวลใน 1-2 ปีข้างหน้า เนื่องจากเป็นการเพิ่มขึ้นจากฐานระดับต่ำ และเงินเฟ้อจะไม่เพิ่มขึ้นโดยปัจจัยเสี่ยงสำคัญมองว่าจะมาจากภายนอกเป็นหลัก โดยเฉพาะการเลือกตั้งของหลายประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ที่เริ่มเสี่ยงต่อการออกจากการเป็นสมาชิก และความผันผวนของนโยบายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเข้ามากดดันหุ้นไทยเป็นระลอก แต่จะปรับตัวลงไม่ได้มากจากปัจจัยหนุนในประเทศที่มีค่อนข้างมาก