ลุ้นหุ้นไทยแตะ 'นิวไฮ' อีกรอบก.พ.

ลุ้นหุ้นไทยแตะ 'นิวไฮ' อีกรอบก.พ.

ลุ้น "ดัชนี" หุ้นไทยแตะนิวไฮ "อีกรอบ" ก.พ.

ภาพรวมตลาดหุ้นไทย 1 เดือนแรกของปี 2560 ดัชนีปรับตัวขึ้น 2.23% โดยสูงสุดที่ระดับ 1,591 จุดและต่ำสุดที่ระดับ 1554.88 จุด มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 5,366.99 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป) อยู่ที่ 15.51 ล้านล้านบาท

สำหรับการซื้อขายแยกรายกลุ่มนักลงทุน พบว่า นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิ 6,432.23 พันล้านบาท นักลงทุนในประเทศขายสุทธิ 12,355.75 ล้านบาท สถาบันในประเทศ มียอดซื้อสุทธิ 2,579.10 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ มียอดซื้อสุทธิ 3,344.41 ล้านบาท  ส่วนหุ้นที่มีการซื้อขายปรับตัวสูงสุด คือหุ้นยูเนี่ยนปิโตรเคมีคัล(UKEM)ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 64.71% รองลงมาหุ้นเอพีซีเอส(APCS)เพิ่มขึ้น 59.46%และหุ้นไทยลักซ์(TLUXE)เพิ่มขึ้น 56.67%

เมื่อก้าวเข้าสู่เดือนก.พ.2560  จากการสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ พบว่า นักวิเคราะห์ยังเชื่อว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ยังคงคึกคักและอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ในระดับที่ดี โดยพิจารณาจากตัวเลขสถิติย้อนหลัง 10 ปีที่ผ่านมา 

บล.เอเซียพลัส ระบุว่า สถิติย้อนหลัง 10 ปี ที่ต่างชาติมักจะซื้อหุ้นไทยในเดือน ก.พ.เฉลี่ยกว่า 6.05 พันล้านบาท โดยเป็นการซื้อสุทธิถึง 6 ใน 10 ปี ยิ่งไปกว่านั้นเดือน ก.พ. ยังเป็นเดือนที่ SET Index มักปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด เมื่อเทียบกับเดือนอื่นๆ ที่เหลือ โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 3.35% และยังปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 9 ใน 10 ปี

ดังนั้นในเดือน ก.พ. คาด Fund Flow ยังคงไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง 

ขณะที่ สรุป Fund Flow ในเดือน ม.ค. 2560 พบว่าเงินทุนต่างชาติได้ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียราว 3.59 พันล้านดอลลาร์ (คิดเป็นสัดส่วนเม็ดเงินกว่า 14.4% ของยอดซื้อสะสมของทั้งปี 2559) โดยมีเพียงตลาดหุ้นอินโดนีเซียเท่านั้นที่ถูกขายสุทธิ ส่วนตลาดหุ้นอื่นๆ อีก 4 แห่ง ยังคงถูกซื้อสุทธิ แม้ช่วงนี้ตลาดหุ้นในภูมิภาคอาจเผชิญกับแรงขายจากต่างชาติ เนื่องจากรอความชัดเจนของการประชุม Fed ที่จะสิ้นสุดลง อย่างไรก็ตามแนวโน้ม Fund Flow ในเดือน ก.พ. คาดว่ายังไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นภูมิภาค รวมถึงไทยได้ต่อเนื่อง

ขณะที่ บล.บัวหลวง ประเมินว่าในเดือนก.พ. 2560 ตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนตามผลประกอบการและการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนของตลาดหุ้นไทยที่ตอนนี้กำลังทยอยประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4ปี2559 และงวดปี2559  ขณะเดียวกันมีปัจจัยที่น่าจะมีอิทธิพล คือการแถลงการณ์นโยบายของ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือน ก.พ.นี้ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่น่าติดตาม คือเรื่องกรอบระยะเวลาการจัดตั้ง Super Holding ของรัฐวิสาหกิจไทย คาดมีความคืบหน้าช่วงครึ่งหลังของเดือนก.พ. ดังนั้นหุ้นใน กลุ่มบริษัท ปตท.(PTT) และบริษัทท่าอากาศยานไทย( AOT), บริษัทการบินไทย(THAI),แบงก์กรุงไทย( KTB),บริษัทอสมท (MCOT) อาจได้จิตวิทยาบวกระยะสั้น 

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนควรเลือกลงทุน ไปที่หุ้นที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูง จากเงินปันผลปี2559 (หักระหว่างกาลแล้ว) สูงกว่า 4% ขึ้นไป เช่นหุ้นโกลว์ (GLOW) หุ้นไออาร์พีซี (IRPC) หุ้นกรุงไทย (KTB) หุ้นเงินทุนธนชาต (TCAP) กองทุนอินฟราฟันด์จัสมิน (JASIF) หุ้นแอสซี (SC) หุ้นแสนสิริ (SIRI) หุ้นแอลพีเอ็น (LPN)