"อีสเทอร์นสตาร์"ปรับทัพใหม่

"อีสเทอร์นสตาร์"ปรับทัพใหม่

อีสเทอร์น สตาร์ กางแผนธุรกิจปี"60 ขยายฐานลูกค้ากลาง-ล่่าง เปิดตัว 2-3 โครงการ มูลค่ากว่า 3 พันล้าน

นายต่อศักดิ์ เลิศศรีสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) (ESTAR) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2560 ว่า บริษัทฯมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ 2-3 โครงการในช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และในเขตอำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง โดยยังคงเน้นลูกค้าระดับกลาง-บน ด้วยกลยุทธ์การพัฒนาโครงการเน้นการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและเพิ่มความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์และราคาขาย รวมไปถึงแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงในกรณีที่ตลาดที่อยู่อาศัยเกิดความผันผวน เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับองค์กรในระยะยาวมากยิ่งขึ้นด้วย นอกจากนี้จะมีการปรับโครงสร้างการบริหารงานทีมงาน และกระบวนการทำงานให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพรองรับการเติบโตของธุรกิจ

นอกจากนี้แล้ว บริษัทฯได้ปรับโครงสร้างการบริหารงาน ทีมงาน และกระบวนการทำงานให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพรองรับการเติบโตของธุรกิจ เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายที่วางไว้ กลยุทธ์หลักคือสร้างการจดจำแบรนด์ “ EStar ” ที่มีรากฐานมายาวนานเกือบ 30 ปี สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคงและความน่าเชื่อถือ โดยมีจุดเด่นในด้านการออกแบบที่มีเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร ใส่ใจในทุกรายละเอียด ตอบสนองการใช้ชีวิตและความต้องการที่หลากหลาย ไปพร้อมกับการสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าโดยให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการที่ตอบโจทย์ลูกค้า (Customer focus) ผ่านเครื่องมือต่างๆ อาทิ การบริหารความสัมพันธ์อันดีต่อลูกค้า (CRM) เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า (Customer satisfaction) และเราจะขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ให้ได้รับรู้และมีโอกาสมาร่วมสัมผัสประสบการณ์ และร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวกับอีสเทอร์น สตาร์ มากยิ่งขึ้น

สำหรับเป้าหมายการเติบโตในปี 2560 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ด้านการรับรู้รายได้ตั้งเป้าขั้นต่ำประมาณ 2,200 ล้านบาท

ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายในพื้นที่กรุงเทพฯ 3 โครงการ ประกอบด้วย 1. โครงการ Star View คอนโดมิเนียม วิวแม่น้ำเจ้าพระยา มูลค่าโครงการ 3,800 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นที่ 6.7 ล้านบาท ด้วยเอกลักษณ์ของอาคารรวมทั้งความสมบูรณ์แบบของส่วนกลางและทัศนียภาพที่สวยงาม จึงทำให้เหลือยูนิตพร้อมขายเพียง 15% คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในปี 2560
2.โครงการนารา 9 คอนโดมิเนียมสุดหรูใจกลางสาทร ทำเลติดสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี มูลค่าโครงการ 2,400 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 9.7 ล้านบาท ขณะนี้เหลือยูนิตพร้อมขายเพียงราว 17% โดยอยู่ระหว่างการทยอยส่งมอบห้องให้ลูกค้า 3.โครงการแอมเบอร์ คอนโดมิเนียม ติดสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีติวานนท์ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นที่ 2.59 ล้านบาท พร้อมเข้าอยู่ราวกลางปี 2561 เป็นต้นไป

“ คนจะเริ่มหันมาซื้อบ้านหลังที่ 2 เป็นคอนโดฯมากขึ้นเพื่ออยู่อาศัยในช่วงวันทำงาน และมองว่าโครงการในรูปแบบ Mixed use ที่ผสมผสานระหว่างที่พักอาศัยและการใช้ประโยชน์อื่นๆ อาทิ พื้นที่สำหรับการค้า สำนักงาน หรือการใช้ประโยชน์รูปแบบอื่นๆ น่าจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้มองว่า คอนโดมิเนียมในระดับราคากลาง ถึงกลางบน ( ราคา 5 – 10 ล้านบาทต้นๆ) จะยังคงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค” นายต่อศักดิ์ กล่าว

สำหรับโครงการในเขตอำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ปัจจุบันมี 3 โครงการ ได้แก่ โครงการสินทวี การ์เด้นท์ 2, โครงการวินเทจ โฮมวิลเลท 3 และโครงการแฮมเลท 3 ซึ่งภาพรวมมียอดขายและยอดรายได้ประมาณ 100 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้บริษัทมีแผนจะผลักดันให้มีอัตราการเติบโตทางด้านยอดขายและรายได้ อย่างน้อย 20% ในปี 2560 โดยจะมีการปรับภาพลักษณ์และรูปแบบให้ตอบโจทย์ลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น และชูจุดขายพื้นที่ใกล้สนามกอล์ฟและศูนย์กีฬา ที่มีบรรยากาศร่มรื่น ซึ่งบริษัทเชื่อว่าพื้นที่บริเวณนี้มีศักยภาพสูง ด้วยการเดินทางที่เข้าถึงได้อย่างสะดวกสบาย และพร้อมรองรับนโยบายการพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออกให้เป็นเป็นระเบียงเศรษฐกิจ (EEC) ของรัฐบาลที่จะเริ่มทยอยเห็นผลตั้งแต่กลางปีนี้เป็นต้นไป

นายต่อศักดิ์ กล่าวคาดการณ์ว่าตลาดอสังหาฯ ในปี 2560 ภาพรวมตลาดน่าจะทรงตัว เนื่องจากผู้บริโภคยังไม่มั่นใจในการใช้จ่ายมากนัก อีกทั้งราคาที่ดินปรับขึ้นสูงอย่างรวดเร็วตามนโยบายการพัฒนาสาธารณูปโภคของรัฐ ในขณะที่กำลังซื้อผู้บริโภคอาจตามไม่ทัน ส่งผลให้การพัฒนาโครงการต้องใช้ความระมัดระวัง และต้องเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง สำหรับตลาดคอนโดมิเนียม เชื่อว่ายังมีความต้องการอยู่มาก 

   ปัจจุบันบริษัทอีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) (ESTAR) มีทุนจดทะเบียน 5,022,246,185 บาท (ชำระเต็ม) ซึ่งถือเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่มีทุนจดทะเบียนที่สูงในอันดับต้นๆ ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และด้วยรากฐานมายาวนานเกือบ 30 ปี ซึ่งนับว่าเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงทางการเงินและการลงทุนสูงมาก ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯสามารถก้าวเดินต่อไปในอนาคตได้อย่างมั่นคง แม้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศอาจจะยังมีความผันผวนอยู่บ้างก็ตาม นายต่อศักดิ์ กล่าว