เฟ้นหุ้นเติบโตปี60 หวังผลตอบแทน 'ชนะตลาด'

เฟ้นหุ้นเติบโตปี60 หวังผลตอบแทน 'ชนะตลาด'

เฟ้น "หุ้นเติบโต" ปี 2560 หวังผลตอบแทนชนะตลาด

ในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวน และจ่อแตะระดับ 1,600 จุดนั้น เป็นจังหวะที่ดีในการเฟ้นหาหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการเติบโตมีความน่าสนใจกว่าหุ้นปันผล เพื่อการลงทุนที่จะได้รับผลตอบแทนชนะตลาด ซึ่งเหมาะกับการลงทุนระยะกลาง

ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ ให้ความเห็นว่า สภาวะที่มูลค่าของตลาดหุ้นไทยเริ่มอยู่ในระดับที่สูงแล้ว ทำให้ประเมินว่าการเลือกหุ้นที่มีประเด็นการลงทุนสนับสนุนในแต่ละช่วงเวลาจะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น

หากพิจารณาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา หุ้นเติบโตให้ผลตอบแทนชนะหุ้นปันผลอย่างชัดเจน อย่างไรก็ดี พบว่าในช่วงเดือน ก.พ. ของทุกปี มักเป็นช่วงเวลาที่ดีของหุ้นปันผล สาเหตุหลักมาจากการที่นักลงทุนทยอยสะสมหุ้นกลุ่มดังกล่าวเพื่อรอรับเงินปันผลประจำปี เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่จะประกาศจ่ายเงินปันผลและขึ้นเครื่องหมาย XD ในช่วง 1-3 เดือนข้างหน้านี้ การปรับตัวที่ดีนี้สามารถสะท้อนได้จากดัชนี SETHD ในช่วง 5 ปีหลังสุด ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเดือน ก.. 3.2% ถือเป็นเดือนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด

ภาพรวม เชื่อว่าการปรับตัวโดดเด่นของหุ้นปันผลจะเป็นเพียงปรากฏการณ์ระยะสั้น เพราะยังคงคาดการณ์ว่าในปีนี้หุ้นเติบโตจะเป็นกลุ่มที่โดดเด่นกว่า จากแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรทั่วโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น จะทำให้ความน่าสนใจของหุ้นปันผลปรับตัวลดลงโดยเปรียบเทียบ หากบริษัทต่างๆไม่มีการปรับเพิ่มระดับการจ่ายปันผลขึ้น ซึ่งจะทำให้ความน่าสนใจของหุ้นปันผลลดลงโดยเปรียบเทียบนั่นเอง

ด้าน อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ มองว่า ในระยะ 1-2 เดือนข้างหน้าคงให้น้ำหนักการลงทุนกับหุ้นที่จ่ายปันผลสูง (Dividend Stock) มากกว่า เพราะอยู่ในที่บริษัทจดทะเบียนทยอยประกาศจ่ายเงินปันผล ประกอบกับมูลค่าของตลาดโดยรวมที่ปรับตัวขึ้นมาสูง ซึ่งเงินปันผลจะเข้ามาช่วยชดเชยความเสี่ยงได้

ส่วนหุ้นเติบโตดีจะกลับมาเด่นหลังจากนี้ โดยเรามองว่าหุ้นกลุ่มรับเหมา อย่าง ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) และซีฟโก้ จะเป็นหุ้นที่โดดเด่นในปีนี้ จากการประมาณการกำไร คาดว่า ซิโน-ไทย จะเติบโตราว 48% จากปี 59 มาอยู่ที่ 1,454 ล้านบาท ส่วนซีฟโก้ น่าจะเติบโตราว 21% มาอยู่ที่ 278 ล้านบาท

“กลยุทธ์ลงทุนในช่วงที่ตลาดปรับตัวขึ้นมาสูงนี้ อาจพอจับจังหวะซื้อหุ้นปันผลดีได้ แต่หากจะเข้าซื้อหุ้นเติบโตอาจรอให้มีการปรับฐานก่อนค่อยเข้าซื้อ หากดัชนีตลาดไม่ได้ปรับขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่เกิน 1,650 จุด มีโอกาสที่ตลาดจะปรับฐานลงมาต่ำกว่า 1,600 จุดอีกครั้ง แต่ไม่ควรจะต่ำกว่า 1,570 จุด”

ขณะที่ กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสินกล่าวว่า การลงทุนในระยะสั้น หุ้นปันผลจะยังน่าสนใจอยู่ เพราะนักลงทุนสามารถคาดการณ์ผลตอบแทนได้แน่นอนกว่า แต่ในระยะกลางถึงยาวหุ้นเติบโตจะกลับมาโดดเด่น แต่นักลงทุนคงต้องพิจารณาความเสี่ยงประกอบการลงทุนด้วย

สำหรับหุ้นที่ฝ่ายวิจัยมองว่าจะเติบโตได้ดีเมื่อเทียบกับความเสี่ยงในปีนี้ ได้แก่ เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน (BWG) เพาเวอร์ โซลูชั่น เทคโนโลยี (PSTC) นามยง เทอร์มินัล (NYT) เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน (ROBINS) และพีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ซึ่งการเติบโตของกำไรแต่ละบริษัทจะแตกต่างกัน แต่ขั้นต่ำจะไม่ต่ำกว่า 12-13%