พิพากษายืนจำคุก 'ผัว–เมีย' คดีฆ่าหั่นศพครูญี่ปุ่น

พิพากษายืนจำคุก 'ผัว–เมีย' คดีฆ่าหั่นศพครูญี่ปุ่น

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุก “สามี – ภรรยา” คดีฆ่าหั่นศพครูญี่ปุ่น

ที่ห้องพิจารณา907ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 30 ม.ค.60 เวลา 10.00 น. ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีฆ่าหั่นศพครูสอนภาษาชาวญี่ปุ่น หมายเลขดำ อ.4330/2557พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา3เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสมชาย แก้วบางยาง อายุ 50 ปี อาชีพรับจ้าง และนางพรชนก ไชยะปะ อายุ 50 ปี อาชีพธุรกิจส่วนตัว ทั้งคู่เป็นสามีภรรยา ชาวสมุทรปราการ ร่วมกันเป็นจำเลยที่1-2ในความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญา, หน่วงเหนี่ยวกักขัง, ซ่อนเร้นทำลายศพเพื่อปิดบังการตาย, ลักทรัพย์ในเวลาเคหะสถานในเวลากลางคืน, มีไว้เพื่อนำออกและใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่น

โดยอัยการโจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่30ธ.ค.57 บรรยายพฤติการณ์ สรุปว่า เมื่อวันที่21ก.ย.–13ต.ค.57ต่อเนื่องเกี่ยวพันกันโดยตลอด จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ พวกจำเลยได้หน่วงเหนี่ยวกักขังนายโยชิโนริ ชิมาโตะ (MR.YOSHINORI SHIMATO) ครูสอนภาษาญี่ปุ่น อายุ79ปี ซึ่งมีอาการป่วยนอนอยู่บนเตียงภายในบ้านเลขที่201/237 1หมู่บ้านออคิดวิลล่า หมู่7 ต.บางเสาธง อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ จากนั้นพวกจำเลยได้วางแผนและใช้อาวุธมีดปลายแหลมยาว15นิ้ว1เล่มที่ตระเตรียมไว้แทงและฟันนายโยชิโนริตามร่างกายอย่างแรงหลายครั้ง แล้วดึงตัวลงจากเตียงก่อนใช้มือจับศรีษะกดกับหมอนจนนายโยชิโนริขาดใจตายสมเจตนา จากนั้นร่วมกันทำลาย ซ่อนเร้นทำลายศพด้วยการใช้มีดเล่มดังกล่าว ตัด แล่ กรีด หั่นชำแหละชิ้นส่วนอวัยวะต่าง ๆเป็นชิ้น ๆไว้ในอ่างอาบน้ำแล้วเคลื่อนย้ายชิ้นส่วนศพใส่ถุง ถ่วงด้วยทราย4ถุง นำไปทิ้งน้ำที่คลองนางทิ้ง ม.7ต.บางบ่อ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ

ภายหลังฆ่าผู้ตาย จำเลยทั้งสองร่วมกันลักเอาเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ราคา20,000บาท กระเป๋าเดินทาง ราคา10,000บาท กระเป๋าข้างแบบหนัง ราคา10,000บาท สมุดเงินฝากธนาคาร2เล่ม บัตรเอทีเอ็มธนาคาร กรุงเทพ ฯ สาขาสีลม ป้ายวิญญาณบรรพบุรุษ และอื่น ๆ รวมราคาทรัพย์41,500บาท แล้วจำเลยที่2ได้สวมวิกปลอม ใส่แว่นตาดำ สวมหมวกมีปีก ลักษณะอำพรางใบหน้า ก่อนใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ บัตรเอทีเอ็ม ธนาคารต่าง ๆกดเอาเงินสด หลายครั้ง เป็นเงิน 520,000บาทไปโดยทุจริต เหตุเกิดที่ ต.บางเสาธง อ.บางเสาธง,ต.บางบ่อ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจพบชิ้นส่วนศพของนายโยชิโนริ ผู้ตาย และติดตามจับกุมจำเลยทั้งสองส่งพนักงานสอบสวน สภ.บางเสาธง แจ้งข้อหาดำเนินคดี โดยในชั้นสอบสวน นายสมชาย จำเลยที่1ให้การรับสารภาพเฉพาะข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซ่อนเร้นทำลายศพ ลักทรัพย์ผู้ตาย อาทิ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค กระเป๋าเดินทาง เท่านั้น แต่ปฏิเสธความผิดข้อหาลักเงินสดผู้ตายจากตู้เอทีเอ็ม ส่วนนางพรชนก จำเลยที่2ให้การปฏิเสธทุกข้อหา

โดยชั้นพิจารณาของศาล นายสมชาย จำเลยที่1ให้การรับสารภาพข้อหาฆ่าคนตาย แต่ต่อสู้ว่าไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน และรับสารภาพข้อหาซ่อนเร้นทำลายศพเพื่อปิดบังสาเหตุการตาย และลักทรัพย์ เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก กระเป๋าเดินทาง กระเป๋าสะพาย สมุดเงินฝากธนาคาร กระเป๋าเงินแบบหนัง เงินสด3,000บาท และทรัพย์สินอื่น รวม45,390บาท ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ

ส่วนนางพรชนก จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเพียงข้อหาใช้บัตรเอทีเอ็ม ชนิดบัตรเดบิต ธ.กรุงเทพ สำนักงานใหญ่ สีลม ของผู้ตายไปใช้เพื่อประโยชน์ของการชำระสินค้า หรือเบิกเงินสด โดยจำเลยที่2เลือกใช้บัตรเบิกถอนเงินสดผู้ตาย15ครั้ง รวมเป็นเงิน7.2แสนบาท ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ

ขณะที่ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 14 ม.ค.59 ให้ประหารชีวิต นายสมชาย จำเลยที่1ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา,จำคุก1ปีฐานร่วมกันซ่อนเร้นทำลายศพฯ และจำคุก2กระทงๆละ2ปีรวม4ปี ฐานลักทรัพย์และเอาไปซึ่งเอกสาร

ส่วนนางพรชนก จำเลยที่ 2 ให้จำคุก 1 ปี ฐานซ่อนเร้นทำลายศพ,จำคุก 2 ปี ฐานลักบัตรอิเล็กทรอนิกส์ฯ และในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์อีก15กระทง ๆ ละ3ปี รวม45ปีโดยในส่วนของจำเลยที่ 2 โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบให้เห็นชัดแจ้งว่า อยู่ร่วมกันในบ้านที่เกิดเหตุแล้วร่วมกันฆ่าผู้ตาย พยานหลักฐานโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 ยังคงมีความสงสัยตามสมควร จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยในข้อหาร่วมฆ่าผู้อื่นฯ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.227วรรคสอง และมีบางข้อหา ที่จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ จึงเหตุควรลดโทษให้ กระทงละกึ่งหนึ่งเฉพาะที่รับสารภาพจึงให้จำคุกตลอดชีวิต นายสมชาย จำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้อื่นฯ,จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันซ่อนเร้นทำลายศพฯ และจำคุก2 ปี ฐานลักทรัพย์และเอาไปซึ่งเอกสาร แต่เมื่อลงโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้วไม่อาจรวมโทษจำคุกกระทงอื่นได้อีก จึงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ตลอดชีวิต

ส่วนนางพรชนก จำเลยที่ 2 ให้จำคุก 1 ปี ฐานลักบัตรอิเล็กทรอนิกส์ และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ให้จำคุก 22 ปี 6 เดือน ส่วนข้อหาซ่อนเร้นทำลายศพคงจำคุก 1 ปี รวมจำคุกทั้งสิ้น 24 ปี 6 เดือน แต่เมื่อรวมโทษจำเลยที่ 2 ทุกกระทงความผิดแล้วตามกฎหมายให้จำคุกสูงสุด เป็นเวลา 20 ปี ให้นายสมชาย จำเลยที่ 1 คืนเงินที่ลักไปทรัพย์รวม 45,390 บาท และนางพรชนก จำเลยที่ 2 คืนเงิน 7.2 แสนบาท ให้นายเท็ตซูโอะ บุตรชายของผู้ตาย ส่วนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง

ต่อมาอัยการโจทก์ ได้ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลอุทธรณ์ พิพากษาลงโทษนางพรชนก จำเลยที่ 2 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นฯ ด้วย

โดยวันนี้ ศาลได้เบิกตัวนางพรชนก จำเลยที่ 2 จากทัณฑสถานหญิงกลาง มาฟังคำพิพากษา ส่วนนายสมชาย จำเลยที่ 1 ยังคงถูกคุมขังเรือนจำบางขวางตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ทั้งนี้ศาลอุทธรณ์ ตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้ว เห็นว่า ความผิดของนายสมชาย จำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.288 นั้น ศาลชั้นต้นวางโทษประหารชีวิตและลดโทษให้คงจำคุกตลอดชีวิต แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ก็ตาม แต่ถือว่าคดีของจำเลยที่ 1 ในส่วนนี้ขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ กรณีจึงเห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ซึ่งข้อเท็จจริงรับฟังเป็นที่ยุติว่า เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 57 นายเท็ตซูโอะ ชิมาโต บุตรของนายโยชิโนริ ผู้ตาย ได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวางว่า ไม่สามารถติดต่อกับบิดาทางโทรศัพท์มือถือระหว่างพักอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ จากนั้นนายเท็ตซูโอะ ได้พาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปยังห้องพักประจำของบิดา ที่อาคารศรีวรา แมนชั่น ชั้น10ห้อง180เขตห้วยขวาง แล้วพบนางพรชนก จำเลยที่ 2 อยู่ภายในห้อง ซึ่งการตรวจค้นพบบัตรเอทีเอ็มของผู้ตายอยู่ในกระเป๋าจำเลยที่2และการตรวจค้นรถกระบะอีซูซุ ของจำเลยที่2พบโทรศัพท์มือถือที่มีซิมการ์ด ของผู้ตายอยู่ในรถกระบะจำเลยที่2ด้วยและข้อเท็จจริงยังฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองอยู่กินฉันสามีภรรยาตั้งแต่ปี 2530

ขณะที่ก่อนเกิดเหตุ นางพรชนก จำเลยที่ 2 คบหาและมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับผู้ตายแล้ว เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 57 เวลา 16.00 น. จำเลยที่2ขับรถกระบะพานายโยชิโนริ ไปพบแพทย์ที่ รพ.บางนา2เนื่องจากมีอาการ แขนขาอ่อนแรง ซึ่งแพทย์มีความเห็นว่าควรนอนพักรักษาที่โรงพยาบาล แต่จำเลยที่ 2 แจ้งว่าค่าใช้จ่ายสูงเกินไป จากนั้นเวลา 17.00 น. จำเลยที่2จึงขับรถยนต์พานายโยชิโนริ ออกจากโรงพยาบาลไปยังบ้านพักของจำเลยที่ 2 ในหมู่บ้านออคิด วิลล่า ม.7ตำบล - อำเภอ บางเสาธง จ.สมุทรปราการ แล้วนายโยชิโนริถูกฆ่าจนถึงแก่ความตายขณะอยู่ในบ้านดังกล่าว จากนั้นนายสมชายจำเลยที่ 1 ได้ชำแหละศพผู้ตาย ตัดอวัยวะต่าง ๆ ออกเป็นชิ้น แล้วใส่ในอ่างอาบน้ำชั้นบนของบ้าน กระทั่งกลางคืนของวันที่21ก.ย.57 จำเลยที่1ได้นำชิ้นส่วนศพผู้ตายใส่ถุงปุ๋ย และถุงขยะพลาสติก สีดำ นำไปทิ้งในคลองนางทิ้ม ตำบล - อำเภอ บางบ่อ จ.สมุทรปราการ โดยวันที่21 - 22ต.ค.57เจ้าหน้าที่ชุดประดาน้ำ กองบังคับการตำรวจน้ำ ได้ตรวจพบถุงปุ๋ย และถุงขยะ สีดำ ที่มีชิ้นส่วนศพผู้ตายอยู่ ซึ่งนายเท็ตซูโอะยืนยันว่าเป็นชิ้นส่วนอวัยวะและกะโหลกศีรษะเป็นของผู้ตาย และเมื่อตรวจพิสูจน์หาสารพันธุกรรม หรือ DNA ของผู้ตาย เปรียบเทียบกับ DNA ของบุตรและครอบครัวก็เข้ากันได้ คิดเป็นร้อยละ 99.99

ดังนั้นจึงน่าเชื่อว่าชิ้นส่วนอวัยวะและกะโหลกศีรษะที่ตรวจพบเป็นผู้ตาย เห็นว่าแม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุมาเบิกความ แต่พยานแวดล้อมตั้งแต่การติดตามค้นหาและการตรวจพบชิ้นส่วนอวัยวะของตาย ประกอบกับจำเลยที่ 1ให้การรับรับสารภาพและนำชี้ที่เกิดเหตุได้ถูกต้องสอดคล้องกับพยานแวดล้อม เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โดยคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์เพียงประการเดียวว่า นางพรชนก จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายตามฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่าแม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานก็ตาม แต่โจทก์ก็มีพยานแวดล้อม ว่าจำเลยที่ 2 มีความสัมพันธ์สามี - ภรรยากับจำเลยที่ 1 ก่อนเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 พาผู้ตายไปรักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาลบางนา 2 จากนั้นพาผู้ตามกลับมาบ้านที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตาย ขณะที่จำเลยที่ 2 ก็อยู่ในบ้านที่เกิดเหตุด้วย

แต่การที่จะวินิจฉัยเจตนาของจำเลยที่ 2 ว่าร่วมกันกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วยหรือไม่นั้น จะต้องได้ความมากกว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ การเป็นสามีภรรยากับการอยู่ในบ้านด้วยกันขณะเกิดเหตุ ยังมิอาจนำมาวินิจฉัยถึงเจตนาในการกระทำความผิดได้ จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมฆ่าผู้ตาย ตามหลักฐานได้ความแต่ว่า จำเลยที่ 2 พาตัวผู้เสียชีวิตมายังบ้านที่เกิดเหตุและพาไปนอนยังห้องนอน จากนั้นถึงค่อยพบศพผู้ตายในอ่างอาบน้ำและได้สอบถามจำเลยที่ 1 ว่าเป็นคนฆ่าผู้ตายหรือไม่ จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมฆ่าผู้ตาย อุทธรณ์ของโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษานั้นศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น