อนุมัติหมายจับ2มือปืนต่างชาติ ยิงนักธุรกิจอังกฤษดับคาปอร์เช่

กรณีนายโทนี่ เคนเวย์ อายุ 39 ปี นักธุรกิจชาวอังกฤษ ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงเสียชีวิตคารถยนต์หรูปอร์เช่ รุ่น Cayenne Gts สีแดง เหตุเกิดที่บริเวณหน้าบริษัท สานิตย์สปอร์ตคลับ จำกัด จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 24 มกราคม ที่ผ่านมา

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 26 มกราคม พล.ต.ต.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบก.ภ.จว.ชลบุรี เปิดเผยว่า ช่วงเช้าที่ผ่านมา ศาลจังหวัดพัทยา ได้อนุมัติออกหมายจับที่ จ.54 ให้จับกุม นายอาเบล คันเดร่า โบนิโต (Mr.Abel Caldeira Bonito) สัญชาติแอฟริกาใต้ มือปืน และหมายจับที่ จ.55 ให้จับกุม นายไมล์ ดิคเค่น เทอเนอร์ ( Mr.Miles Dicken Turner ) สัญชาติอังกฤษ ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ,มีอาวุธปืนและเรื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ,พกพาอาวุธไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และมีอาวุธปืนติดตัวโดยใช่เหตุ ซึ่งขณะนี้ทราบว่าหลบหนีไปทางด่านตรวจคนเข้าเมืองคลองใหญ่ จ.ตราด ตั้งแต่เวลา 15.00 น. ของวันก่อเหตุ โดยคาดว่าคนร้ายน่าจะอยู่ในประเทศกัมพูชา ซึ่งชุดปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ของ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ ที่ปรึกษา สบ 10 กำลังประสานทางกับการกัมพูชาเพื่อติดตามตัวมาดำเนินคดี ส่วนสาเหตุคาดว่าหักหลังเรื่องธุรกิจผิดกฎหมาย

ทั้งนี้รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับนายโทนี่ ผู้เสียชีวิตมีพฤติกรรมเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่ ซึ่งล่อลวงชาวต่างชาติในแถบยุโรปมาร่วมลงทุน โดยก่อนหน้านี้มีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อหลายราย สูญเงินหลายล้านบาท และถูกจับกุมดำเนินคดีเมื่อเดือนกันยายน 2559 พร้อมถูกผลักดันออกนอกประเทศ

ต่อมา นายโทนี่ได้ประกันตัวออกมาสู้คดี กระทั่งมาถูกมือปืนยิงเสียชีวิตดังกล่าว อย่างไรก็ตามจากข้อมูลพบว่า นายโทนี่ ขัดแย้งกับเพื่อนต่างชาติที่ทำธุรกิจร่วมกัน โดยเพื่อนได้ติดเงินนายโทนี่ ประมาณ 8 ล้านบาท ซึ่งก็ได้ทวงถามเรื่อยมา แต่เมื่อไม่ได้ทำให้นายโทนี่ กลั่นแกล้งด้วยการแจ้งตำรวจให้จับกุมเพื่อนรายนี้ จนไม่สามารถทำธุรกิจแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทยได้ เพราะถูกตำรวจตามจับกุมหลายครั้ง จนต้องไปลักลอบเปิดธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศกัมพูชา โดยการทำธุรกิจไม่สะดวกสบายเหมือนในประเทศไทย คาดว่าคนร้ายทั้งมือปืน และคนขับขี่รถจักรยานยนต์ น่าจะร่วมประกอบธุรกิจคอลเซ็นเตอร์กับเพื่อนเก่านายโทนี่ ซึ่งคาดว่าเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง เนื่องจากความโกรธแค้นที่ถูกกลั่นแกล้งดังกล่าว