Daily Market Outlook (23 ม.ค.60)

Daily Market Outlook (23 ม.ค.60)

การเข้ารับตำแหน่งปธน.สหรัฐที่ถูกโต้แย้งอย่างไม่คาดคิด

คาดหุ้นไทยวันนี้ซื้อขายในกรอบแคบออกไปในเชิงบวกเล็กน้อยตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เป็นบวกบางๆ ซึ่งเรามองว่าจะอยู่ในกรอบจำกัดจากถ้อยแถลงของ Donald Trump ในวันเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ยังคงแสดงจุดยืนในการปกป้องการค้าของสหรัฐฯ รวมไปถึงนโยบายประชานิยม ขณะที่แทบจะไม่ได้มีการกล่าวอ้างถึงนโยบายการตัดลดภาษีและมาตรการกระตุ้นอื่นๆ ที่มีความชัดเจนแต่อย่างใด ทั้งนี้มีการประท้วงต่อต้านTrump เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สำหรับปัจจัยในประเทศค่อนข้างเป็นไปในเชิง Defensive โดยธปท. และกลต. ออกมาให้ความเห็นต่อผลกระทบที่มีอย่างจำกัดของการผิดนัดชำระหนี้ตั๋ว B/E ขณะที่หนี้สาธารณะของประเทศล่าสุดเดือนพ.ย. ลดลง MoMมาอยู่ที่ 5.94 ล้านล้านบาท คิดเป็นเพียง 42.4% ของ GDP ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับระดับที่ยอมรับได้ในระดับสากลที่ไม่เกิน 60%

หุ้นเด่นวันนี้: KTC (ราคาปิด 139.00 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมายปี 60 ของ AWS 170.00 บาท)

บมจ.บัตรกรุงไทย เป็นหุ้นเด่นในวันนี้เนื่องจากผลประกอบการปี 59 ที่น่าประทับใจ คุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นและแนวโน้มในอนาคตที่ยังดูสดใส โดยกำไรสุทธิในไตรมาส 4/59 เพิ่มขึ้น 19.7% YoYอยู่ที่ 640 ล้านบาท ทำให้กำไรทั้งปี 59 อยู่ที่ 2.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.4% YoYการเติบโตดังกล่าวหนุนโดยช่วงไฮซีซั่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ และแคมเปญทางการตลาด ซึ่งส่งผลให้พอร์ตสินเชื่อของ KTC เพิ่มขึ้น 13% YoYโดยที่พอร์ตสินเชื่อบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 12% YoYและพอร์ตสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 18% YoY ถึงแม้พอร์ตสินเชื่อบริษัทจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว บริษัทยังสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ไว้ได้ดีโดยที่อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPL ratio) อยู่ในระดับต่ำที่ 1.66% ลดลงจาก 1.86% ในไตรมาส 3/59 และ 2.06% ในปี 58 ขณะที่อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) อยู่สูงกว่า 450% เราคาดว่าแนวโน้มการเติบโตเช่นนี้จะยังดำเนินต่อไป ปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญจะมาจากกลยุทธ์ส่งเสริมทางการตลาดอย่างต่อเนื่องและแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นซึ่งจะทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสูงขึ้นและเพิ่มการจับจ่ายใช้สอย เราประมาณการพอร์ตสินเชื่อรวมของบริษัทในปี 60 จะเติบโต 12% สูงกว่าเป้าของ KTC เล็กน้อยที่ 10% และเราคาดกำไรสุทธิจะเติบโต 19.7% ในปี 60 และ 21.9% ในปี 61 Price Pattern ของ KTC ยังมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily & Monthly Buy Signal รอเพียงการกลับมาเกิด Weekly Buy Signal ครั้งใหม่เท่านั้น ก็จะทำให้ Price Pattern ของ KTC เข้าสู่ความแข็งแกร่งอย่างเต็มรูปแบบ โดยหาก Price Pattern ของ KTC ปิดตลาดรายสัปดาห์ได้เหนือ 140 บาท ก็จะทำให้กลับมาเกิด Weekly Buy Signal ครั้งใหม่ ทั้งนี้เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ KTC คาดว่ามีโอกาสปรับตัวขึ้นไปทดสอบเป้าหมายถัดไปของการทำ New High ที่ 155 บาทอีกครั้ง โดย KTC มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 135.50 บาท (Resistance: 140.00, 141.00, 143.00; Support: 138.50, 137.50, 135.50)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• ธปท. และ ก.ล.ต. ไม่กังวลผลกระทบตั๋ว B/E ผิดนัดชำระ ยืนยันกับตลาดว่าการผิดนัดชำระของตั๋วเงินหลายชุดมีผลกระทบจำกัดต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ เพราะเมื่อคิดเทียบทั้งตลาดตราสารหนี้แล้ว เป็นสัดส่วนที่น้อย (Bangkok Post)

• หนี้สาธารณะยืนที่ 5.94 ล้าน ลบ. ณ พ.ย. 59 คิดเป็น 42.39% ของ GDP และร่วงลง 4.095 พัน ลบ. หรือ 0.68% จากเดือนก่อน ก.การคลังรายงานเมื่อวันศุกร์ (Bangkok Post)

• ทีโอทีเลื่อนตั้งกองโครงสร้างพื้นฐาน ทีโอทีเลื่อนตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับความต้องการต่อโครงข่ายโทรคมนาคมไปอีก 9 เดือน หลังพบว่าเครือข่ายให้เช่าระยะสั้นที่มีอยู่ไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขที่จะตั้งกองทุนระยะยาว ทีโอทีอยู่ระหว่างคุยกับบริษัทผู้เช่าเพื่อปรับสัญญาและยืดระยะเวลาเช่าไปอีกอย่างน้อยสิบปี การเจรจาคาดว่าจะบรรลุใน ต.ค. ทีโอทีวางแผนจะจดทะเบียนกองทุนโครงสร้างพื้นฐานใน SET ภายใน ม.ค. 61 (Bangkok Post)

• เตรียมเปิดตัวพร้อมเพย์ C2C ศุกร์นี้บริการโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์หรับพร้อมเพย์ระหว่างผู้บริโภค (C2C) คาดว่าจะเริ่มในศุกร์นี้หลังเลื่อนมาจาก ต.ค. ปีที่แล้ว แหล่งข่าวระบุ บริการ C2C นี้อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการทดสอบระบบ (Bangkok Post)

• Shinwa Group ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์สัญชาติญี่ปุ่นเตรียมขยายการลงทุนมากขึ้นในภูมิภาคอาเซียนไปจนถึงปี 2562 ตั้งเป้ายอดขายจากนอกประเทศเติบโตเป็น 1.0 หมื่นลบ.ในปีดังกล่าว สำหรับในประเทศไทยได้วางแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่ารวม 2.4 พันลบ.ในช่วงปี 2561-62 ประเมินรายได้ไว้อยู่ที่ 3.6 พันลบ. ซึ่งเป็นการลงทุนในลักษณะ JV ร่วมกับ วรลักษณ์ พร๊อพเพอร์ตี้ (The Nation) ความเห็น: ท่ามกลางความกังวลของตลาดต่อการ Oversupply ของคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯ ปัจจุบัน พบว่ายังมีการลงทุนเพิ่มขึ้นจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเรามีมุมมองที่สอดคล้องกันต่อประเด็นดังกล่าวในแง่ของความต้องการที่อยู่อาศัยคอนโดมิเนียมที่จะเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อระบบขนส่งมวลชนมีความพร้อมมากขึ้น

ต่างประเทศ:

• ข่าวในช่วงสุดสัปดาห์แรกในการทำงานของประธานาธิบดีทรัมป์ส่วนใหญ่เป็นการปะทะกับสื่อและการเดินประท้วงต่อต้านทรัมป์ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา มีสตรีจำนวนนับแสนรายทั่วสหรัฐเดินขบวนต่อต้านประธานาธิบดีคนใหม่ โดยมีประเด็นไปที่ความไม่พอใจอย่างมากต่อความเห็นของทรัมป์และจุดยืนของนโยบายต่อกลุ่มชนหลายกลุ่มรวมทั้งผู้อพยพชาวเม็กซิกัน ชาวมุสลิม ผู้พิการและนักสิ่งแวดล้อม (Reuters)

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลงจากระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ครึ่งเมื่อวันศุกร์หลังทรัมป์ใช้แนวนโยบายประชานิยมตามที่เขาได้สาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลว่าความพยายามในการใช้มาตรการกระตุ้นการคลังจะชะลอตัวออกไป ราคาพันธบัตรอายุ 10 ปี ปรับตัวลง 3/32 อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 2.47% หลังจากที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 2.51% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเมื่อวันที่ 3 ม.ค. ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้นจากที่ระดับ 2.31% เมื่อวันอังคาร (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐขยับลงเมื่อวันศุกร์ เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังต่อขอบเขตที่จำกัดในอำนาจที่ประธานาธิบดีสหรัฐออกคำสั่งที่จะใช้เป็นกฎหมายชั่วคราว และขาดการปฏิรูปนโยบายอย่างเป็นรูปธรรมในการกล่าวสุนทรพจน์ในวันที่ทรัมป์เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวลง 0.3% โดยดัชนีได้ปรับตัวขึ้นประมาณ 3% นับแต่ที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พ.ย. แต่ได้ปรับตัวลง 1.3% ในเดือนม.ค. จากความกังวลที่มากขึ้นเกี่ยวกับการให้ความเห็นเกี่ยวกับนโยบายปกป้องทางการค้าในแบบนักการเมืองรวมทั้งความเห็นที่แสดงถึงความไม่พอใจว่าดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเกินไป ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเทียบกับเงินยูโร เงินเยน และเงินปอนด์ ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเทียบกับแต่ละสกุลเงินในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเช่นกัน (Reuters)

สหรัฐ:

• ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกเมื่อวันศุกร์ โดยหุ้นปรับตัวขึ้นเป็นวงกว้างเนื่องจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 50 ปีที่ผู้นำประเทศได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากตลาดทุนในการเข้าทำงานเป็นวันแรก ทรัมป์เผยว่านโยบายของสหรัฐคือการซื้อของอเมริกัน และจ้างคนอเมริกัน ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มในการใช้นโยบายปกป้องทางการค้า ดัชนีหลักทั้ง 3 บวกลดลงระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์และปิดที่ระดับสูงสุดของวัน (Reuters)

ยุโรป:

• ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันศุกร์ปรับตัวลดลงและส่งผลให้เป็นการปรับตัวลดลงในรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่ Donald Trump ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อเดือนพ.ย. เนื่องจากนักลงทุนมีความกลัวความเสี่ยงก่อนที่เขาจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ตลาดยังมีแรงกดดันจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนรวมไปถึงแนวโน้มในอนาคต แม้ว่าจะได้แรงหนุนส่วนหนึ่งจากข่าวการควบรวมกิจการในหุ้นกลุ่มสื่อสารก็ตาม (Reuters)


เอเชีย:

• ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่นHaruhiko Kuroda กล่าวในวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่เติบโตอย่างยั่งยืนตามการค้าทั่วโลกและกิจกรรมการผลิตที่ฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม เขากล่าวเสริมว่าญี่ปุ่นยังไม่เคยรับมือกับความท้าทายเรื่องเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและอัตราค่าจ้างของบริษัทที่ปรับตัวสูงขึ้น(Reuters)

• ญี่ปุ่นควรจะถอยอออกมาถ้าฐานการค้าและนโยบายทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์เป็น "เศรษฐศาสตร์ที่ผิด" โคอิจิ ฮามาดะ ซึ่งเป็นศาสตราจารย์กิตติคุณของเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเยลและที่ปรึกษาส่วนตัวชินโซ อะเบะ กล่าวแสดงออกถึงความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการกีดกันทางการค้า ที่ถูกขู่โดยทรัมป์เรื่องการกำหนดใช้ "ภาษีชายแดน" ในการนำเข้าและการใช้มาตรการกีดกันอื่น ๆ (Reuters)

• หน่วยกำกับดูแลหลักทรัพย์ของจีนกล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า จะจำกัดการระดมทุนมากเกินไปโดยบริษัทจดทะเบียนและกระชับการอนุมัติการขายหุ้นเพิ่มทุนอย่างเป็นทางการ ในขณะที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ของประเทศจีน (CSRC) สนับสนุนบริษัทในการออกหุ้นกู้แปลงสภาพและหุ้นบุริมสิทธิ์เพื่อแก้ไขความไม่สมดุลของโครงสร้างในกิจกรรมทางการเงิน โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทของจีนออกหุ้น PP มากกว่า 1ล้านล้านหยวน (145.47 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) เป็น 8 เท่าของการออกหุ้น IPO (Reuters)

• จีนลด RRR ชั่วคราวสำหรับธนาคารขนาดใหญ่: ธนาคารกลางของจีน หรือ PBOC อนุญาตให้ธนาคารที่ใหญ่ที่สุด 5 แห่ง ลดจำนวนเงินที่ต้องถือเป็นเงินสำรองเพื่อคงสภาพคล่องตามฤดูกาลท่ามกลางความต้องการเงินสดจำนวนมากในวันหยุดยาวตรุษจีน ธนาคารกลางได้ปรับลดอัตราส่วนสำรอง (RRR) ของธนาคารลง 1% เป็น 16% และจะคงกลับมาที่RRR ระดับปกติหลังวันหยุดยาว (Reuters)

• การลงทุนในสินทรัพย์คงที่ขยายตัว 8.1% ช้าที่สุดนับตั้งแต่ปี 2542ขณะที่เงินลงทุนในบริษัทเอกชนชะลอตัวอีกครั้งในเดือนธันวาคมเป็นประจำทุกเดือน ภาคเอกชนการลงทุนในสินทรัพย์คงที่ลดลงเป็น4.07% จาก 4.93% ในเดือนพฤศจิกายน(Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• น้ำมันดิบบวกกว่า 2% วันศุกร์ บนความคาดหวังว่าการประชุมผู้ผลิตน้ำมันชั้นนำจะแสดงให้เห็นว่ากำลังร่วมการลดกำลังผลิต แต่กิจกรรมขุดเจาะมากขึ้นของสหรัฐก็จำกัดขาขึ้น น้ำมันดิบ Brent ล่วงหน้า บวก 1.33 ดอลลาร์สหรัฐหรือ +2.5% ปิด 55.49 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบสหรัฐล่วงหน้าส่งมอบ มี.ค. บวก 2.1% ปิด 53.22 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)

• ราคาทองคำปรับขึ้นวันพฤหัส จากดอลลาร์ที่ร่วงและผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐย่อลงหลัง Donald Trump ได้สาบานตนเป็นประธานาธิบดี ราคาทองคำตลาดจรปิดบวก 0.5% ที่ 1,211.30 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองคำตลาดล่วงหน้าปิดบวก 0.3% ที่ 1,204.90 ดอลลาร์สหรัฐ (Reuters)