นอกเกม : ทำธุรกิจกับ'ปีศาจ'

นอกเกม : ทำธุรกิจกับ'ปีศาจ'

ในรอบอาทิตย์ที่ผ่านมา มี 3 ข่าวเกี่ยวกับสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่น่าสนใจ

 และมีความเกี่ยวพันกันอยู่ไม่น้อย ทั้งสามข่าวได้แก่ 

1) เซ็นสัญญาเป็นพาร์ทเนอร์กับ UBER สตาร์ทอัพที่ระดมทุนได้มากที่สุดในโลก 

2) แซง เรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลนา เป็นสโมสรฟุตบอลที่มีรายรับสูงสุดในโลก และทำรายได้ไปถึง 689 ล้านยูโร นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาทำรายได้ทะลุหลัก 600 ล้านยูโร 

3) เป็นสโมสรกีฬาทีมแรกในอังกฤษ ที่แต่งตั้งตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายต่อต้านผู้ก่อการร้าย 

อ่านถึงตรงนี้หลายคนอ่านจะคิดว่า เฮ้ย!!! มันไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันเท่าไหร่นะ 

แต่ความจริงแล้ว ถ้าลองค่อยๆมองให้ลึกลงไป ทั้งสามเรื่องล้วนเกี่ยวข้องกันอย่างแยกไม่ออก เริ่มจากการจับมือกับ UBER ผมได้วิเคราะห์ไว้ในคอลัมน์นอกเกมเมื่อเสาร์ที่แล้ว ซึ่งผมขออนุญาตสรุปสั้นๆตรงนี้อีกครั้ง ว่าเป็นการ Co-Branding โดยฝั่งที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ประโยชน์จากการมอบบริการใหม่ และประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้แฟนบอลของตัวเอง ให้ได้รับความสะดวกสบายที่มากขึ้นในการตามเชียร์ทีมรัก ขณะที่ทาง UBER ก็มีโอกาสแนะนำบริการของตัวเองให้แฟนบอล “ปีศาจแดง”เกือบ 700 ล้านคนทั่วโลก 

เคสนี้ ถือเป็น Win-Win Strategy ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ เป็นแนวคิด 1+1 ไม่เท่ากับสอง 2 แต่ต้องได้มากกว่าเช่น 3, 4, 5 เป็นคอนเซปต์การจับมือกันแบบ Strategic Partner ที่เราน่าจะได้เห็นบ่อยขึ้นในอนาคต 

การจับมือแบบของ แมนฯ ยูไนเต็ด กับแบรนด์ต่างๆ แบบนี้ คือเหตุผลหลักที่ทำให้พวกเขากลายเป็นสโมสรฟุตบอล ที่มีรายได้สูงที่สุดในโลก เพราะภายใต้การบริหารของ CEO มือทองอย่างเอ็ด วูดเวิร์ด “ปีศาจแดง” มีการจับมือให้เลือกหลากหลายไม่ว่าจะเป็นแบบพาร์ทเนอร์ หรือแบบสปอนเซอร์ ทั้งแพ็คเกจที่เป็นระดับโลก ระดับทวีป หรือ ระดับประเทศ พวกเขาจัดให้เหมาะกับทุกธุรกิจ ทุกขนาด ทุกความต้องการของแบรนด์ทั่วโลกเสมอ

สิ่งที่เปิดโอกาสให้ “ปีศาจแดง” สามารถทำเช่นนี้ได้ คือฐานแฟนคลับจำนวนมหาศาลเกือบ 700 ล้านคนจากทุกทวีปทั่วโลก ทำให้แบรนด์ต่างๆสามารถมั่นใจว่าเมื่อพวกเขาได้ร่วมมือกับยอดทีมจากอังกฤษรายนี้ น่าจะช่วยให้สินค้าหรือบริการของเขาเป็นที่รู้จักทั่วโลก

และสาเหตุที่ทำให้พวกเขามีฐานแฟนคลับมากขนาดนี้ ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด หรือ “โรงละครแห่งความฝัน” สังเวียนเหย้าของพวกเขาเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง 

ดังนั้นข่าวการจ้างอดีตตำรวจมือดีระดับสารวัตร มาทำหน้าที่หัวหน้าหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายแบบฟูลไทม์นั้น จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะเป็นหนึ่งในการบริหารความเสี่ยงที่องค์กรขนาดใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พึงกระทำ ถือเป็นการดูแลแฟนๆที่เป็นทรัพย์สินสำคัญให้พวกเขาได้เซ็นสัญญากับแบรนด์ใหญ่ๆ จนได้เป็นสโมสรฟุตบอลที่มีรายรับสูงที่สุดในโลก 

นั่นคือความเกี่ยวเนื่องของข่าวทั้งสามที่ตอกย้ำให้เห็นว่าในวงการกีฬานั้น เรื่องราวทั้งในและนอกสนามมีความเกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก และรอให้คุณติดตามได้ในคอลัมน์นี้ ทางหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ทุกวันเสาร์