‘จิตอุดตัน’สาเหตุเกิดซีสต์ขยายสู่มะเร็ง

‘จิตอุดตัน’สาเหตุเกิดซีสต์ขยายสู่มะเร็ง

โรคซีสต์เกิดจากภาวะความเครียดสะสม หงุดหงิด ไม่สบายใจหรือเรียกรวมๆ คือ จิตอุดตัน ก่อเกิดของเสียตกค้างที่แปรสภาพเป็นเสมหะ เมื่อสะสมก็เป็นซีสต์

สถิติโรคซีสต์พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และพบมากในมดลูก รังไข่ และเต้านม ซึ่งตามหลักศาสตร์แพทย์แผนจีนโรคซีสต์เกิดจากภาวะความเครียดสะสม หงุดหงิด ไม่สบายใจ ทำให้เส้นประสาทลมปราณมีปัญหา หรือเรียกอาการนี้ว่า “จิตอุดตัน” สามารถรักษาได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะทำให้โรคหายได้ ควบคู่กับการออกกำลังกายที่ไม่หนักเกิดไปจนทำให้สูญเสียพลัง

อาจารย์หยาง เผยเซิน แพทย์จีนประจำคณาเวชคลินิกการแพทย์แผนไทย กล่าวว่า ภาวะจิตอุดตัน มีอารมณ์เครียดสะสม หงุดหงิดใจ ไม่สบายใจ เป็นเวลานาน จิตไม่สามารถผ่อนคลาย ทำให้เส้นปราสาทลมปราณติดขัดเกิดเรียกว่า “ถาน” หรือ “เสมหะ” เพราะธาตุหยางในกระเพาะพร่องก่อเกิดของเสียตกค้าง แปรสภาพกลายเป็นเสมหะ เมื่อเสมหะสะสมมากขึ้นก็เริ่มเคลื่อนไหวไปอุดตันในอวัยวะต่างๆ กลายเป็นโรคซีสต์ในที่สุด อาการของซีสต์เริ่มต้นจะตรวจไม่พบด้วยเครื่องมือแพทย์ จะพบว่าเป็นซีสต์ต่อเมื่อเป็นก้อนใหญ่แล้ว ตามศาสตร์แพทย์แผนจีนถือว่าพบช้าไป ทำให้ทางเลือกของผู้ป่วยมีน้อยจำเป็นต้องผ่าตัดเอาก้อนซีสต์ออก ซึ่งมีผลเสียทำให้ผู้ป่วยเจ็บตัว

การผ่าตัดออกก็ไม่ได้รับประกันว่าซีสต์จะไม่กลับมาอีก เพราะอาจจะไปเป็นที่อวัยวะอื่นๆ เช่น คอหรือต่อมน้ำเหลืองในระยะเวลา 1-2 ปี หรือถ้าอาการเป็นหนักอาจจะทำให้เป็นโรคมะเร็งในระยะเวลา 4-5 ปี การรักษาตามหลักศาสตร์แพทย์แผนจีนให้รักษาที่ต้นเหตุก่อนที่ผลของโรคจะเกิดขึ้น คือรักษาที่จิตที่มีความอุดตัน อาจจะให้ผู้ป่วยทำสมาธิเพื่อให้ผ่อนคลาย ออกกำลังกายที่ไม่หักโหม หรือทำให้สูญเสียพลัง ทั้งนี้ ผู้ป่วยในต่างประเทศเมื่อพบว่ามีอาการทางจิตมักจะไปพบจิตแพทย์ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยส่วนใหญ่ในประเทศไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญเรื่องจิตเท่าไร ไม่เข้าใจว่าทำไมจิตถึงต้องอุดตัน มีอาการเก็บกดไว้รอให้เป็นมากๆ ค่อยรักษา

วิธีสังเกตอาการจิตอุดตัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ ตึงๆ มีลมข้างในเยอะ ตัวเย็นเกินไป รู้สึกไม่สบายตัว มีเสมหะเหนียวๆ วนเวียนอยู่ในร่างกาย และหากตกค้างไว้นานจะทำให้เป็นซีสต์ได้ ซึ่งศาสตร์แพทย์แผนจีนสามารถรักษาได้แต่เนิ่นๆ ด้วยยาสมุนไพร กัวซาหรือฝั่งเข็มติดต่อกัน 12 ครั้ง เพื่อบรรเทาอาการทำให้เลือดลมหมุนเวียนคล่อง อาการปวดก็จะค่อยๆ หายไป รวมทั้งผู้ป่วยต้องดูแลตัวเอง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสังเกตลิ้นตัวเอง ถ้าปกติ ลิ้นจะเป็นสีชมพู ถ้าลิ้นเป็นจุดสีดำ หรือใต้ลิ้นเป็นสีดำให้รีบรักษา หรือไปพบแพทย์แต่เนิ่นๆ อย่าปล่อยอาการทิ้งไว้ นอกจากนี้สภาพแวดล้อมและเรื่องการรับประทานอาหารก็สำคัญด้วย ไม่รับประทานอาหารที่เป็นเค้ก หรือไอศกรีม มากเกินไป ควรรับประทานอาหารที่ทำให้ร่างกายอุ่นเมื่ออากาศเปลี่ยน เช่น น้ำขิงอุ่น เป็นต้น

ทั้งนี้ หลักแพทย์แผนจีนให้ความสำคัญกับ “ระบบตับ” รวมถึงเส้นลมปราณตับก็เป็นเส้นลมปราณสำคัญในการรักษาโรคทางนรีเวช เพราะหาก “ระบบตับ” เกิดความผิดปกติจะส่งผลต่ออารมณ์ทำให้หงุดหงิด โกรธง่าย และเกิดความเครียด อีกทั้งใบหน้าเศร้าหมอง ขณะเดียวกันหากการไหลเวียนลมปราณ (เลือดลมหรือชี่) ในเส้นลมปราณตับติดขัดจะทำให้การไหลเวียนเลือดติดขัดเช่นกันในสตรีจะเกิดอาการปวดประจำเดือน ประจำเดือนไม่มา หรือเกิดเนื้องอกได้ มีอาการเลือดจะคั่งค้างในมดลูก และอาจเกิดเป็นซีสต์หรือเนื้องอกในมดลูก รวมถึงเกิดอาการเจ็บอก ปวดคัดเต้านม และอาจเป็นซีสต์หรือเนื้องอกในเต้านมได้เช่นกัน ระบบเส้นลมปราณตับยังเกี่ยวพันกับใบหน้า ปัญหาฝ้า หากไม่ใช่เกิดจากพันธุกรรม ส่วนหนึ่งมักเกิดจากระบบตับเสียสมดุล รวมถึงการไหลเวียนของลมปราณตับติดขัด ดังนั้น ผู้หญิงอายุ 30-50 ปี ใบหน้าจะเริ่มมีฝ้า เนื่องจากความเสื่อมถอยของ “ระบบตับ” การขาดการบำรุงและการดูแลที่ถูกต้อง การรักษาโรคจึงต้องมาดูที่ต้นเหตุ คือมาดูแลระบบตับ