'สมคิด'สั่งจับตาราคาสินค้า หลังราคาน้ำมันปรับขึ้น

'สมคิด'สั่งจับตาราคาสินค้า หลังราคาน้ำมันปรับขึ้น

"สมคิด" สั่งจับตาราคาสินค้าหลังราคาน้ำมันปรับขึ้น สั่งพาณิชย์ติดตามสถานการณ์-ทำงานเชิงรุกป้องกันฉวยโอกาส ลั่นขยับราคาผิดปกติโดนแน่นอน!

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมติดตามงาน เรื่อง ค่าครองชีพและ Local Economy ของกระทรวงพาณิชย์ ว่า จากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มขยับเพิ่มสูงขึ้น ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ คอยติดตามสถานการณ์ เพราะไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าราคาน้ำมันจะขึ้นไปที่ระดับใด แม้ว่าขณะนี้ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นยังไม่มีผลกระทบต่อราคาสินค้าก็ตาม โดยในการประชุมปลัดกระทรวงพาณิชย์ ยืนยันว่า ในปี 2560 กระทรวงพาณิชย์จะทำงานและดูแลสินค้าเชิงรุก เพื่อไม่ให้ราคาปรับเพิ่มขึ้นก่อนแน่นอน โดยจะดูถึงต้นทุนสินค้าที่จำเป็นทั้งหมด และมีการรายงานผ่านวอร์รูมของกระทรวงฯที่มีการจัดตั้งขึ้น เพื่อรายงานราคาสินค้ามายังวอร์รูม หรือ กรมการค้าภายในทุกวัน

“ตรงไหนมีการขยับราคาผิดปกติโดนแน่นอน กระทรวงพาณิชย์จะต้องดูแลไม่ให้มีการปรับราคาผิดปกติ โดยเฉพาะสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ เพราะจะกระทบกับคนจน กับคนที่มีรายได้น้อย โดยกระทรวงพาณิชย์ เสนอจะทำตลาดธงฟ้าประชารัฐ ที่จะกระจายไปตามพื้นที่ในชุมชน หมู่บ้าน โดยขายสินค้าที่จำเป็นต่อผู้บริโภค เช่น ผงซักฟอก ยาสีฟัน เป็นต้น ซึ่งจะถูกกว่าท้องตลาด 15-20% แม้ว่าการดูแลคนจนอาจทำได้ไม่ดีนัก แต่ก็พอที่จะทำให้อยู่รอดไปได้”นายสมคิด

ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ เร่งหารือกับกับกลุ่มพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อทำตลาด 3 กลุ่ม ประกอบด้วย ตลาดกลางทั่วไป ตลาดกลางสินค้าเฉพาะอย่าง และตลาดชุมชนประชารัฐ โดยจะให้เวลาในการดำเนินงานจะต้องแล้วเสร็จภายใน 3-6 เดือน

สำหรับตลาดกลางจะเป็นสินค้าเฉพาะอย่าง เป็นสินค้าเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นของจังหวัดนั้นๆ โดยให้กระทรวงพาณิชย์หารือกับพาณิชย์จังหวัด กำหนดจังหวัดที่จะจัดตั้งตลาด และประเภทการทำตลาด โดยจะต้องเชื่อมโยงตั้งแต่ระดับการผลิต การตลาด และการท่องเที่ยว เนื่องจากการตั้งตลาดเพียงอย่างเดียวนั้น จะไม่สามารถอยู่ได้ แต่ต้องดึงในเรื่องของการท่องเที่ยวเข้ามาเชื่อมโยงด้วย

“ถือเป็นนโยบายของผมและนายกรัฐมนตรี ที่หลังจากนี้ทุกกระทรวงจะต้องปรับการทำงานให้เป็นไปตามกลุ่มจังหวัดที่จะออกมา ยุทธศาสตร์ต่างๆจะต้องกระจายตามกลุ่มจังหวัด อย่างในเรื่องการทำตลาด เราก็จะดึงในเรื่องการท่องเที่ยวเข้ามา เพราะหากมีตลาด แต่ไม่มีการท่องเที่ยวก็ไม่รู้จะขายใคร โดยแต่ละแห่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีสินค้าไม่เหมือนกัน เช่น ชุมพร หากอยากเอาใจนักท่องเที่ยวจีน ก็ดึงในเรื่องตลาดกลางสินค้าเฉพาะอย่าง คือ ทุเรียน เป็นต้น ส่วนตลาดกลางทั่วไป ก็จะมีสินค้าที่หลากหลาย ก็ไปหาแนวทางในการดำเนินงาน แต่จะต้องชัดเจนใน 3-6 เดือน”นายสมคิด กล่าว