SPALI - ซื้อ

SPALI - ซื้อ

แนวโน้มกำไรเติบโตแกร่ง บวกส่วนเพิ่ม

ประเด็นการลงทุน

เราคาดการณ์ด้วยความเชื่อมั่นว่ากำไรหลักของ SPALI จะสามารถเติบโตได้ดีที่ 15% ในปี 2560 และ 12% ในปี 2561 ซึ่งโดดเด่นกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอสังหาฯ เพื่อขายที่เราให้คำแนะนำที่คาดการณ์กำไรหลักเติบโตเป็นเพียงตัวเลขหลักเดียว โดย SPALI มีความชัดเจนของรายได้โดดเด่นมากที่สุดในกลุ่มสำหรับปี 2560-2561 สำหรับหุ้นยังซื้อขายที่ระดับมูลค่างถูกเกินไป โดย SPALI ซื้อขายกันอยู่ในระดับ PER ปี 2560 ที่เพียง 7.6 เท่า และมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสำหรับปี 2560 ที่ 5.3% (จ่าย 2 ครั้งต่อปี) และมีโอกาสในการปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิจากกำไรพิเศษหากบริษัทขายเงินลงทุน (อาคารสำนักงาน) ในประเทศฟิลิปปินส์ ทำให้เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2560 ที่ 30 บาท อ้างอิงจาก PER ที่ 9.5 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยปี 2549-2559 อยู่ 1 ส่วนเบียงเบนมาตรฐาน

ผลงานปี 2559 มาตามนัด

การเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2559 ปรับตัวลดลง 28% มาอยู่ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท (แบ่งเป็นโครงการคอนโด 50% และ โครงการแนวราบ 50%) หลังจากโครงการศุภาลัย โอเรียนทัล สุขุมวิท 39 (มูลค่าโครงการ 1 หมื่นล้านบาท) เลื่อนการเปิดตัวโครงการจากไตรมาส 4/59 เป็น 1/60 ทั้งนี้ถึงแม้ว่าโครงการขนาดใหญ่ดังกล่าวจะเลื่อนไป แต่ SPALI จะสามารถบรรลุยอดจองซื้อรวมที่ 2.41 หมื่นล้านบาทในปี 2559 เพิ่มขึ้น 5% และใกล้เคียงกับเป้าหมายบริษัทเดิมที่ 24.5 พันล้านบาท โดยยอดจองซื้อโครงการแนวราบปี 2559 ทำสถิติใหม่สูงสุดเป็นประวัติกาล เพิ่มขึ้น 9% มาอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาทจากการเพิ่มขึ้นของยอดจองซื้อต่างจังหวัดที่ 20% (ยอดจองซื้อในกรุงเทพฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4%) สำหรับยอดจองซื้อโครงการคอนโดปี 2559 ทรงตัวอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท ทำให้เราคาดยอดจองซื้อไตรมาส4/59 ปรับตัวเพิ่มขึ้น20% QoQ มาอยู่ที่ 7.7 พันล้านบาท โดดเด่นกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ทรงตัว QoQ (หุ้นอสังหาฯ ที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของ BLS) สำหรับรายได้ที่อยู่อาศัยนั้นสร้างความประหลาดใจเชิงบวกแก่เราและตลาดโดยสูงกว่าในแผนธุรกิจปี 2559 และสูงกว่าที่ตลาดคาดอยู่ 5% ดังนั้นเราปรับเพิ่มประมาณการกำไรหลักขึ้น 3% สำหรับปี 2559-2560 เพื่อสะท้อนรายได้ที่อยู่อาศัยที่คาดการณ์เพิ่มขึ้น (เราปรับประมาณการรายได้ดังกล่าวเพิ่มขึ้น 3% มาอยู่ที่ 2.3 หมื่นล้านบาทในปี 2559 และ 2.5 หมื่นล้านบาทสำหรับปี 2560)

กำไรปี 2560 มีความชัดเจนสูง

SPALI มีเป้าหมายเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้น 54% มาอยู่ที่ 3.7 หมื่นล้านบาทในปี 2560 ทั้งนี้หากไม่รวมโครงการโครงการศุภาลัย โอเรียนทัล สุขุมวิท 39 ที่เลื่อนมาจากปีที่แล้ว เราพบว่าแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ของบริษัทในปี 2560 นั้นอยู่ในระดับปานกลางที่ 13% หนุนจากมูลค่าการเปิดตัวโครงการแนวราบเป็นหลัก โดยบริษัทตั้งเป้าหมายยอดจองซื้อปี 2560 เติบโต 12% มาอยู่ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท และมีเป้าหมายรายได้ที่อยู่อาศัยเชิงอนุรักษ์นิยมอยู่ที่ 2.45 หมื่นล้านบาท คิดเป็นเติบโต 7% (จากประมาณการรายได้อสังหาฯของเราปี 2559 เท่า 2.3 หมื่นล้านบาท)

หากแต่เราเห็นโอกาสที่รายได้ดังกล่าวจะสูงกว่าที่บริษัทตั้งเป้าหมายไว้เนื่องจาก SPALI เป็นบริษัทที่มีความชัดเจนของรายได้สูงที่สุดในกลุ่ม โดยยอดขายที่รอรับรู้รายได้นั้รับประกันประมาณการรายได้ที่อยู่อาศัยที่เราคาดการณ์ถึง54% สำหรับปี 2560 และ 37% สำหรับปี 2561 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่เพียง 25% สำหรับปี 2560 และ 11% สำหรับปี 2561 โดยอัตรากำไรขึ้นต้นจากการขายที่อยู่อาศัยกำลังค่อยๆ ฟื้นตัว โดยเราคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 70bp สำหรับปี 2560 จากโครงการคอนโดใหม่ของ SPALI ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น

คอนโดเปิดตัวปี 2560 เพื่อหนุนกำไรปี 2563-2564

ในปี 2560 โครงการคอนโดใหม่เปิดตัวจำนวน 5 โครงการ (มูลค่ารวม 2 หมื่นล้านบาท) ซึ่งจะรับประกันรายได้ระยะยาวและการเติบโตของกำไร ทั้งนี้หากไม่นับโครงการศุภาลัย โอเรียนทัล สุขุมวิท 39 แล้ว อีก 4 โครงการใหม่ อยู่ในทำเลใกล้ระบบขนส่งมวลชน (ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีเขียว, สายสีน้ำเงินและสายสีทอง) ซึ่งจะมีกำหนดการเริ่มโอนในปี 2563 และ 2564 ด้วยอัตรากำไรขั้นต้นขั้นต่ำที่ 40%

กำหนดการโอนคอนโดเสร็จในปี 2560 กระจายตัวค่อนข้างดี

กำหนดการโครงการคอนโดเสร็จสินและเริ่มโอนได้ในปี 2560 นั้นปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 52% มาอยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท (จำนวนทั้งหมด 9 โครงการ) ด้วยอัตราจองซื้อเฉลี่ยที่ 70% โดยทั้ง 9 โครงการนั้นจะมีการกระจายตัวการเริ่มโอนรายไตรมาสได้อย่างสม่ำเสมอสำหรับปี 2560 (แบ่งเป็นโครงการคอนโดเสร็จเริ่มโอนได้ในครึ่งแรกของปีเท่ากับ 58% และ 42% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2560) โดยแบ่งเป็นโครงการคอนโด 3 แห่งที่มีกำหนดเสร็จและเริ่มโอนในไตรมาส1/60 (เชียงใหม่, ระยอง และภูเก็ต) โดยมีมูลค่าโครงการรวม 3.2 พันล้านบาท; โครงการคอนโด 3 แห่ง ที่เสร็จสิ้นในไตรมาส2/60 (แหลมฉบัง, รัชวิภา, ปากเกร็ด) มูลค่าโครงการรวม 6 พันล้านบาท: 2 โครงการในไตรมาส3/60 (พระนั่งเกล้ส และแจ้งวัฒนะ) มูลค่าโครงการรวม 2.9 พันล้านบาท และอีก 1 โครงการในไตรมาส 4/60 (เวลลิงตัน II) มูลค่าโครงการ 3.6 พันล้านบาท