Daily Market Outlook (16 ม.ค.60)

Daily Market Outlook (16 ม.ค.60)

จุดสนใจอยู่ที่พิธีสาบานเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ในวันศุกร์

คาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบแคบวันนี้เนื่องจากจุดสนใจในสัปดาห์นี้จะอยู่ที่พิธีสาบานเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ในวันศุกร์ท่ามกลางความคาดหวังในเรื่องของความชัดเจนทางด้านนโยบาย ตลาดทั่วโลกค่อนข้างเงียบเหงาในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาจากการที่นักลงทุนต้องการดูให้แน่ใจว่านโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์จะสามารถทำได้จริงและช่วยหนุนกำไรของบริษัท ในทางตรงกันข้าม นักลงทุนโดยเฉพาะในเอเชียมีความกังวลในนโยบายกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการควบคุมค่าเงินของจีน ปัจจัยภายในประเทศไม่ค่อยมีผลต่ออารมณ์ของตลาดเท่าใดนัก การประกาศผลกำไรของบริษัทในไตรมาส 4/59 ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วซึ่งเราเชื่อว่าจะออกมาแข็งแกร่ง

หุ้นเด่นวันนี้: TISCO(ราคาปิด 63.75 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมายปี 60 ของ AWS 72.00 บาท)

บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นหุ้นเด่นในวันนี้เนื่องจากพื้นฐานอันแข็งแกร่งจากการเติบโตของกำไรที่มั่นคง อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ที่สูงที่สุดในกลุ่มธนาคาร คุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ดี เราคาดกำไรของ TISCO ในปีนี้จะยังคงเติบโตต่อเนื่องที่ 12.1% หนุนโดยการตั้งสำรองที่คาดว่าจะลดลง 14.8% และอัตราส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิในระดับสูงที่ 3.94% การเติบโตของกำไรดังกล่าวจะช่วยผลักดัน ROE ของธนาคารอยู่ที่ 17.0% สูงที่สุดในกลุ่มธนาคาร ในแง่ของคุณภาพสินทรัพย์ อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL ratio) ในปี 59 ลดลงอยู่ที่ 2.54% จาก 3.04% ในไตรมาส 3/59 ขณะที่อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage ratio) ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากที่ 139.8% จาก 107% ในไตรมาส 3/59 ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการปรับชั้น NPL ของ SSI ใหม่ เราคาดว่าแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ของ TISCO จะยังคงดีขึ้นในปีนี้หนุนโดยสภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น นอกจากนั้นแล้ว เราคาดว่าการสิ้นสุดระยะเวลาห้ามโอนรถยนต์เป็นเวลา 5 ปีในโครงการรถยนต์คันแรก จะช่วยทำให้สินเชื่อของธนาคารฟื้นตัวในปี 60 โดยน่าจะค่อยๆ หยุดหดตัวและเริ่มทรงตัวได้ในช่วงกลางปี อีกทั้ง ธนาคารคาดว่ากระบวนการโอนธุรกิจลูกค้ารายย่อยจากธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) จะเสร็จสิ้นอย่างเร็วที่สุดในช่วงต้นครึ่งหลังของปีนี้ การโอนธุรกิจดังกล่าวคาดว่าจะช่วยผลักดันสินเชื่อของธนาคารเติบโต 15% เรามองว่าปัจจัยนี้จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของกำไรต่อไปในอนาคตจากการเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและรายได้จากการ cross-sell มากขึ้น เราคาดว่ากำไรจะเริ่มเห็นผลเต็มปีในปี 61 โดยเติบโต 12.9% นอกจากนั้นแล้ว หุ้น TISCO ยังมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่เหมาะสมมากที่ราว 4.4% ในปี 60 Price Pattern ของ TISCO มีความแข็งแกร่งอย่างมากในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, & Monthly Buy Signal เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ TISCO บ่งบอกว่าจะได้เห็นการทำ New High อีกด้วย โดยมีเป้าหมายแรกของการทำ New High อยู่ที่ 67.25 บาท ซึ่ง TISCO มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 62.00 บาท (Resistance: 64.00, 64.25, 64.75; Support: 63.50, 63.00, 62.75)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• ราคายางแตะ 3.01 ดอลลาร์สหรัฐต่อ กก. (106 บาท/กก.) ทำนิวไฮนับแต่ ก.พ. 56 เพราะผลจากน้ำท่วมกระทบเกษตรกรรมภาคใต้ (TOCOM, ASPEN) ความเห็น: คาดว่า STA น่าจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากเหตุการณ์เพราะมีโรงงาน 14 โรงในภาคใต้และ 13 โรงในอีสาน และน้ำยังไม่ได้ท่วมโรงงานของบริษัท จึงยังดำเนินการตามปกติได้อยู่

• ปตท. เตรียมเปิดประมูลท่อก๊าซเส้นที่ห้าในเดือน ก.พ. 60โดย PTT แยกเป็นสองสัญญาการประมูล คือสัญญางานก่อสร้างและสัญญาการจัดซื้อท่อส่งก๊าซ ซึ่งMarubeni-Itochu Steel Inc. ชนะงานจัดซื้อท่อก๊าซไปแล้ว ขณะที่งานก่อสร้างจะมีการประกาศผู้ชนะการประมูลในเดือน ก.พ.60 (Bangkokbiznews)ความเห็น: เราเห็นว่าเป็น Sentiment เชิงบวกกับ TRC ที่อาจจะยังมีความหวังได้งานประมูลก่อสร้างท่อก๊าซเส้นที่ 5 มูลค่างาน 35,000 ล้านบาท สำหรับ 2 เฟสการก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม งานประมูลก็ถือว่ายังมีการแข่งขันสูงมาก เราแนะนำซื้อ TRC (ราคาปิด 1.53 บาท) ราคาเป้าหมาย 2.20 บาท

• การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานผ่านรูปแบบ PPPจำนวน 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 7.21 แสนลบ. เตรียมจะถูกนำเสนอให้คณะกรรมการ PPP พิจารณาปีนี้ โดย 5 โครงการมีขนาดการลงทุนอยู่ในช่วง 1-5 พันลบ. สำหรับแต่ละโครงการ ขณะที่อีก 7 โครงการที่เหลือมีมูลค่าการลงทุนแต่ละโครงการมากกว่า 5.0 พันลบ. อ้างอิงจากการเปิดเผยของนายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อำนวยการและโฆษกสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) (Bangkok Post)

• ความมั่นใจตั๋วบี/อีหาย:นักลงทุนหมดความมั่นใจตั๋วบี/อี หลัง "บจ." หลายแห่งผิดนัดชำระตั้งแต่ NMG, KC, IFEC, EFORL และล่าสุดคือ RICH ที่มีปัญหาทั้งเงินกู้แบงก์และหุ้นกู้ด้วย ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ จับตาตั๋วบี/อี มีความเสี่ยงอีกราว 1 หมื่นล้านบาท อาทิตย์นี้นัดประชุมหาทางแก้ไขด่วน (SET, ข่าวหุ้น)

ต่างประเทศ:

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ หลังการเปิดเผยตัวเศรษฐกิจหลายรายการซึ่งหนุนมุมมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและราคาหุ้นในตลาดวอลล์สตรีทที่ปรับตัวขึ้นส่งผลให้เกิดแรงเทขายพันธบัตรรัฐบาลซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับตัวขึ้น 3 bps อยู่ที่ระดับ 2.391% หลังจากที่ร่วงลงถึงระดับ 2.307% ต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อวันศุกร์ เป็นสัปดาห์อ่อนค่ามากที่สุดเทียบกับสกุลเงินหลักนับแต่ต้นเดือนพ.ย. เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลมากขึ้นจากการที่ทรัมป์ไม่ได้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายทางเศรษฐกิจ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ล่าสุดปรับตัวลง 0.16% อยู่ที่ 101.190 การปรับตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อบวกกับการปรับตัวลงในวันพุธและวันพฤหัสส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงราว 1% ในสัปดาห์ก่อน (Reuters)

• เงินปอนด์อ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 3 เดือนในตลาดเอเชียเมื่อวันจันทร์ โดยนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการถอนตัวจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ (Brexit) ตลาดเงินในเอเชียมีปฏิกิริยาต่อรายงานในหนังสือพิมพ์ ซันเดย์ ไทมส์ของอังกฤษว่า นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีหญิงของอังกฤษจะใช้การกล่าวสุนทรพจน์ในวันอังคารนี้เพื่อส่งสัญญาณว่าอังกฤษมีแผนที่จะใช้ดำเนินการแบบ “hard Brexit” โดยออกจากการเป็นตลาดเดียวในยุโรป (single market) เพื่อกลับมาควบคุมขอบเขตของอังกฤษอีกครั้ง (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดแบบผสมเมื่อวันศุกร์ ในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบนำโดยหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคหลังจากมีรายงานว่ายอดค้าปลีกสหรัฐปรับตัวขึ้นต่ำกว่าที่คาดในเดือนธ.ค. แต่ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธนาคารขนาดใหญ่หนุนให้ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น และราคาหุ้นเฟซบุ๊คที่ปรับตัวขึ้นดันให้ดัชนีแนสแด็คปรับตัวขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันศุกร์ (Reuters)

• ตลาดหุ้นและตลาดการเงินสหรัฐจะปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (Reuters)

• ยอดค้าปลีกสหรัฐประจำเดือนธ.ค. ปรับตัวขึ้นต่ำกว่าที่คาด กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่ายอดค้าปลีกปรับตัวขึ้น 0.6% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ยอดค้าปลีกประจำเดือนพ.ย. มีการปรับตัวเลขเป็นเพิ่มขึ้น 0.2% MoMแทนตัวเลขก่อนหน้านี้ที่เพิ่มขึ้น 0.1% ทั้งนี้ ยอดค้าปลีกปรับตัวขึ้น 4.1% YoYในเดือนธ.ค. และยอดค้าปลีกในปี 2559 เพิ่มขึ้น 3.3% YoYเทียบกับปี 2558 ที่เพิ่มขึ้น 2.3% ยอดค้าปลีกพื้นฐานซึ่งไม่รวมยอดขายรถยนต์ เชื้อเพลิง วัสดุก่อสร้างและร้านอาหาร ปรับตัวขึ้น 0.2% หลังจากที่ทรงตัวในเดือนพ.ย. นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่ายอดค้าปลีกโดยรวมจะเพิ่มขึ้น 0.7% และยอดค้าปลีกพื้นฐานจะเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนธ.ค. (Reuters)

ยุโรป:

• ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันศุกร์ปรับตัวสูงขึ้นนำโดยการปรับตัวสูงขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร ขณะที่ดัชนีหุ้น Blue ship ของอังกฤษทำสถิติปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกัน 14 วัน และทำระดับสูงสุดใหม่ อย่างไรก็ตามตลาดมีแรงกดดันส่วนหนึ่งจากหุ้นกลุ่มยานยนต์ ท่ามกลางประเด็นฟ้องร้องการปล่อยมลภาวะเกินขนาด ล่าสุดได้แก่ Renault แต่หุ้น Fiat Chrysler มีการฟื้นตัวหลังจากปรับตัวลดลงไปก่อนหน้านี้หลัง CEO ของ Fiat ออกมากล่าวว่าการฟ้องร้องดังกล่าวจะไม่กระทบกับแผนทางธุรกิจของบริษัทฯ (Reuters)

เอเชีย:

• การส่งออกของประเทศจีนลดลงเป็นปีที่ 2เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552จากการเผชิญกับความต้องการของโลกที่อ่อนแอและความกลัวสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ในปี 2560 การส่งออกในปี 2559 ลดลง 7.7% และการนำเข้าลดลง 5.5% การส่งออกลดลงเป็นปีที่สองเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2552 การส่งออกเดือนธันวาคมลดลงมากขึ้นกว่าที่คาดไว้ 6.1% YoYขณะที่การนำเข้าชนะการคาดการณ์เล็กน้อยที่คาดว่าเติบโต 3.1% ในขณะที่ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์แข็งแกร่งหนุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ประเภททรัพยากรทั่วโลก จีนรายงานยอดเกินดุลการค้า40.82พันล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับเดือนธันวาคมเมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายนที่เกินดุล 44.61พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (Reuters)

• ข้อมูลวันศุกร์หน้าคาดว่าจะแสดงให้เห็นว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2559 ของจีน บรรลุเป้าหมายที่ 6.5-7.0%เป็นผลมาจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการส่งออกที่อ่อนแอเป็นเวลานานบังคับให้รัฐบาลจีนต้องพึ่งพาการใช้จ่ายที่สูงขึ้นและสินเชื่อที่ธนาคารขนาดใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงของการก่อหนี้เพิ่มขนาดใหญ่ (Reuters)

• ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรหลักของญี่ปุ่นลดลงในเดือนพฤศจิกายน เป็นการลงเร็วที่สุดในรอบเจ็ดเดือน เป็นสัญญาณว่าบางบริษัทอาจจะระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินทุนมากขึ้น โดยคำสั่งซื้อหลักลดลง 5.1% MoMในเดือนพฤศจิกายน มากกว่าประมาณการเฉลี่ยที่คาดลดลง 1.7% อย่างไรก็ตามคำสั่งซื้อหลักเพิ่มขึ้น 10.4% YoYเทียบกับที่คาดการณ์ว่า +8.1% นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าการใช้จ่ายเงินทุนจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นในปีนี้ แต่ก็มีความกังวลเพิ่มขึ้นว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump อาจจะใช้นโยบายการค้ากีดกันการค้าเป็นเหตุให้บริษัทชะลอการลงทุน (Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• น้ำมันดิบเป็นลบวันศุกร์ ปิดรายสัปดาห์ร่วง 3% จากความกังวลเรื่อง OPEC จะลดกำลังการผลิตได้สักแค่ไหนและการคาดการณ์ว่าอุปสงค์ความต้องการจากจีนจะร่วงลงเพราะความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจหลังส่งออกจีนร่วงแรงสุดนับแต่ ปี 52 น้ำมันดิบ Brentล่วงหน้าลบ 56 เซนต์ปิด 55.45 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ปิดลบ 3% รายสัปดาห์ น้ำมันดิบสหรัฐล่วงหน้าลบ 41 เซนต์ปิด 52.60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และรายสัปดาห์ร่วง 2.5% (Reuters)

• ราคาทองคำบวกวันศุกร์ ยังอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดรอบเจ็ดสัปดาห์ที่ขึ้นไปก่อนหน้านี้ เพราะดอลลาร์ที่อ่อนค่าและผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลหล่นมาจากจุดสูงสุด และรายสัปดาห์ทองบวกมาแล้วสามสัปดาห์ติด ราคาทองคำตลาดจรปิดบวก 0.2% ที่ 1,197.99 ดอลลาร์สหรัฐ รายสัปดาห์บวกไป 2.1% ราคาทองคำล่วงหน้าปิดลบ 0.3% ที่ 1,196.20 ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนที่จะปิดวันหยุดในวันจันทร์ (Reuters)