'พิชิต'กางภารกิจ 1 ปี ปฏิรูปการรถไฟ

'พิชิต'กางภารกิจ 1 ปี ปฏิรูปการรถไฟ

"พิชิต อัคราทิตย์" กางภารกิจ 1 ปี ปฏิรูปการรถไฟ ดันขนส่งหนุนอีอีซี

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อปีสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งตามโรดแมพของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) "พิชิต อัคราทิตย์" เข้ามาช่วยงานทีมเศรษฐกิจใน "ครม.ประยุทธ์4" ในฐานะ "รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม" ซึ่งภารกิจที่รออยู่ หนีไม่พ้นสารพัดเมกะโปรเจคที่ต้องผลักดันให้จบภายในรัฐบาลชุดนี้

แต่“พิชิต” บอกว่างานสำคัญอันดับแรก คือ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก(อีอีซี) เนื่องจากเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศของรัฐบาล ซึ่งเป็นความหวังในการฉุดประเทศไทยให้พ้นกับดักรายได้ปานกลาง

หน้าที่ของกระทรวงคมนาคมคือ ผลักดันโครงการโลจิสติกส์ต่างๆ ทั้งบก-น้ำ-ราง-อากาศ เพื่อสนับสนุนให้อีอีซีเกิดขึ้น เพราะโลจิกติกส์เปรียบเสมือนสายพานในโรงงาน ที่จะช่วยขนส่งสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภค พร้อมกับสร้างความเติบโตให้กับเมือง

ทั้งนี้ การพัฒนาโลจิกติกส์จะมี 2 นัยยะ หนึ่งเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจ โดยยุทธศาสตร์ระยะ 20 ปี ของกระทรวงคมนาคมตั้งเป้าหมายว่า จะลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศดลดลง2%จากปัจจุบันอยู่ที่14.2%ต่อจีดีพี และจะเข้าไปดูการลงทุนระบบขนส่งทางน้ำเป็นพิเศษ เนื่องจากมีต้นทุนต่ำที่สุด แต่ยังเห็นภาพการพัฒนาน้อย

นัยยะที่2 เป็นเรื่องการเติบโต เพราะประเทศไทยจะวางตัวเองในฐานะโลจิสติกส์ฮับ ซึ่งเรื่องนี้เชื่อมโยงกับอีอีซีและอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่รัฐบาลวางไว้

"อีอีซีจะเชิญชวนนักลงทุนว่า มาอยู่ที่นี่เถอะ เราจะให้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เขามาอยู่ที่นี่ เขาจะผลิตได้ด้วยต้นทุนต่ำที่สุด เขาจะสามารถส่งสินค้าหรือเอาวัตถุดิบเข้ามาที่อีอีซีในประเทศไทยด้วยต้นทุนต่ำที่สุด โดยเราขายอุตสาหกรรมประเภทหนึ่ง คืออุตสาหกรรมโลจิสติกส์" 

ภารกิจสำคัญไม่แพ้กัน คือ การสานต่อแผนปฏิรูปการรถไฟแห่งประเทศไทยจากช่วงที่ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟฯ โดยกุญแจสำคัญอยู่ที่การบริหารทรัพย์สินจำนวนมหาศาลให้เกิดประสิทธิภาพ และ ลงทุนรถไฟทางคู่ให้ครบทั้งประเทศเพื่อสนับสนุนอีอีซี

โดยล่าสุดได้มอบนโยบายให้การรถไฟฯ เร่งแยกฝ่ายบริหารสินทรัพย์ซึ่งเป็นหัวใจหลักออกมาตั้งเป็นบริษัทภายใน 3 เดือน เพราะการตั้งบริษัทจะเปิดกว้างให้ว่าจ้างบุคคลากรเข้ามาได้ทั้งในแง่คุณภาพและปริมาณซึ่งแน่นอนว่าต้องมีการดึงมืออาชีพระดับโลกเข้ามาด้วย

การรถไฟฯ จะถือหุ้นบริษัทแห่งนี้ 100% ตามข้อกฎหมาย แต่จะปรับเปลี่ยนวิธีบริหารจัดการโดยแยกฝ่ายนโยบายและปฏิบัติการออกจากกันเพราะถ้าให้รัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นและบริหารด้วยองค์กรก็จะไม่เกิดความคล่องตัว

“โครงสร้างที่มองไว้คือ ข้างบนเป็นตัวแทนเจ้าของเงินและส่งผ่านความต้องการผ่านการประชุมผู้ถือหุ้น ข้างล่างเป็นบอร์ดบริหารซึ่งจะดูแลเรื่องการลงทุนอย่างอิสระ ถ้าแบ่งอำนาจ2ส่วนออกจากกันได้จะแก้ปัญหาความคล่องตัวไปได้ ซึ่งโมเดลนี้ถูกใช้ในการบริหารกองทุนฯ ในต่างประเทศ”

นอกจากนี้ต้องผลักดันการลงทุนรถไฟทางคู่ให้ครบทุกเส้นทางในประเทศ แม้จะไม่ใช่โครงการที่ไม่ใช้เทคโนโลยีซับซ้อน แต่ถ้าเกิดขึ้นจริงก็จะทำให้สามารถควบคู่การขนส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและกำหนดตารางเวลาที่แน่นอนได้

รัฐมนตรีช่วยคมนาคมยังสนใจโครงการพัฒนาสถานีกลาง (Grand station)2แห่งของการรถไฟฯ ในกรุงเทพฯ คือ สถานีกลางบางซื่อและสถานีมักกะสัน เพราะมองว่าจะช่วยยกระดับเมืองหลวงของไทยให้เทียบชั้นมหานครระดับโลก เช่น ดูไบ หรือสิงคโปร์

สำหรับสถานีกลางบางซื่อจะเป็นชุมทางของรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงรถไฟความเร็วสูง ด้านสถานีรถไฟมักกะสันจะเชื่อมกรุงเทพฯ กับ จ.ระยอง หนึ่งในพื้นที่ของEECส่งผลให้ความเจริญจากเขตกรุงเทพฯ ขยายออกไปและยังวางแผนให้มักกะสันเป็น Showroom of the World ที่จะขายสินค้าที่เราผลิตในรุ่นต่อไป

“ผมดูภาพวิสัยทัศน์ มันดูน่าสนใจ เป็นตัวหนึ่ง ถ้าเราขายไอเดียนี้ได้ กรุงเทพฯ จะมีโชว์รูมระดับโลกอยู่แห่งหนึ่งซึ่งเอาสินค้าจากอุตสาหกรรมใหม่มาขายที่นี่ได้ ตั้งอยู่ในนี้เลย และให้คนทั่วโลกใช้เวลา1ชั่วโมงลงเครื่องที่สุวรรณภูมิและวิ่งมาที่นี่ได้เลย มันจะเป็นศูนย์จัดการประชุม เป็นที่พัก ซึ่งนักธุรกิจทั่วไปต้องการ”

นายพิชิต กล่าวว่าแม้โครงการสถานีกลางบางซื่อ สถานีมักกะสัน และโครงการอื่นๆ จะออกแบบไว้ดีมาก แต่ปัญหาในทุกยุคทุกสมัยคือการผลักดันให้เกิดขึ้นจริง ดังนั้นจึงตั้งใจจะเข้ามาช่วยรัฐบาลวางโครงสร้างพื้นฐานแล้วให้คนอื่นไปดำเนินการต่อ เหมือนกับโครงการสนามบินสุวรรณภูมิซึ่งหากเริ่มต้นได้ ก็สามารถไปต่อได้ในยุคถัดได้

นอกจากนี้ "พิชิต" จะดูแลการระดมทุนของกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund :TFF)ในแง่สินค้าซึ่งต้องน่าสนใจในสายตาของนักลงทุนรายใหญ่และรายย่อย

"ในปีหนึ่ง ถ้าผมวางโครงสร้างพื้นฐานให้เขาต่อยอดระยะยาวได้ก็น่าจะเป็นเป้าที่อยากจะทำ เมื่อหมดหน้าที่และมีรัฐบาลเลือกตั้งเข้ามา ผมอยากให้เขาจำว่าผมเป็นแค่ลูกจ้างคนหนึ่งของรัฐบาล ซึ่งได้ทำหน้าที่ในฐานะมืออาชีพที่ดีที่สุด ผมถือว่ามาทำงานนี้ก็เป็นงานหนึ่งทำต้องทำให้ดีที่สุด"