'สคร.'เสนอ'พีพีพี'อนุมัติ12โครงการ ชงร่วมทุนเอกชน

'สคร.'เสนอ'พีพีพี'อนุมัติ12โครงการ ชงร่วมทุนเอกชน

"สคร." เสนอ "บอร์ดพีพีพี" อนุมัติ 12 โครงการเปิดเอกชนร่วมลงทุน มูลค่ากว่า 7.2 แสนล้านภายในปีนี้ ชงครม.ต่ออายุมาตรการภาษีหนุนการลงทุนเอกชน

แผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในการกิจการของรัฐ ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีมองว่าตอนนี้ประเทศไทย มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่หลายโครงการ จึงอยากจะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนกับภาครัฐเพื่อลดภาระทางการคลัง และยังเป็นแรงขับเคลื่อนการลงทุนภาครัฐให้ขยายตัวต่อเนื่อง

นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในปีนี้สคร.เตรียมที่จะเสนอคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ หรือบอร์ดพีพีพี ที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พิจารณาอนุมัติโครงการร่วมลงทุนรวม 12 โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า 7.21 แสนล้านบาท

โดยมูลค่าลงทุนดังกล่าวเป็นมูลค่าโครงการร่วมทุนภาครัฐและเอกชนที่สูงที่สุด เท่าที่เคยใช้กฎหมายร่วมทุนมาตั้งแต่ปี 2535 หลังจากที่บอร์ดพีพีพี เห็นชอบ ขั้นตอนต่อไปจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี ( ครม.)อนุมัติ จากนั้นก็จะเริ่มต้นขั้นตอนของการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมทุนต่อไป

แบ่ง2กลุ่มดึงเอกชนร่วมลงทุน

โครงการร่วมทุนทั้ง 12 โครงการ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกเป็นโครงการที่มีวงเงินลงทุนตั้งแต่ 1,000-5,000 ล้านบาท ซึ่งมีอยู่ 5 โครงการ รวมมูลค่า 9.14 พันล้านบาท ประกอบด้วย โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-นครราชสีมา(ที่พักริมทาง) ของกรมทางหลวง มูลค่า 965 ล้านบาท โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (ที่พักริมทาง) ของกรมทางหลวง มูลค่า 1.05 พันล้านบาท

โครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย ของกรมการขนส่งทางบกมูลค่า 3.34 พันล้านบาท โครงการศูนย์การขนส่งสินค้าชายแดน จังหวัดนครพนม ของกรมการขนส่งทางบก มูลค่า1.52 พันล้านบาท และโครงการก่อสร้างระบบกำจัดขยะมูลฝอย ระยะที่ 2 ของเทศบาลนครราชสีมา มูลค่า 2.25 พันล้านบาท

ดันโครงการ5พันล้านเข้าพีพีพี

ส่วนอีกกลุ่มเป็นโครงการที่มีวงเงินลงทุนตั้งแต่ 5 พันล้านบาทขึ้นไป มีทั้งหมด 7 โครงการ มีมูลค่ารวม 7.12 แสนล้านบาท ประกอบด้วย1.โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วนตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) มูลค่า 1.1 แสนล้านบาท 2.โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วนตะวันตก ช่วงตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ของ รฟม. มูลค่าโครงการ 8.53 หมื่นล้านบาท

3.โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-วงแหวนกาญจนาภิเษก ของ รฟม มูลค่า 1.31 แสนล้านบาท 4.โครงการเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในการเดินรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของ ร.ฟ.ท. มูลค่าโครงการ4.18 หมื่นล้านบาท

5.โครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทาง กทม.-ระยอง ของ ร.ฟ.ท. มูลค่าโครงการ 1.52 แสนล้านบาท 6.โครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกทม.-หัวหิน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ( ร.ฟ.ท.) มูลค่าโครงการ 1.11 แสนล้านบาท และ7.โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายนครปฐม-ชะอำ ของกรมทางหลวง มูลค่าโครงการ 8 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตาม โครงการพีพีพีดังกล่าว ยังไม่รวมถึงโครงการพัฒนาที่เชิงพาณิชย์บริเวณสถานีกลางบางซื่อ เพื่อเป็นศูนย์กลางการเดินรถไฟ พื้นที่แปลง A มูลค่า 1.54 หมื่นล้านบาท ซึ่งทางร.ฟ.ท. ได้เสนอให้ สคร. พิจารณาแล้ว เมื่อเดือนต.ค.2559

ทั้งนี้ในปี 2559 มีโครงการร่วมทุน ที่ได้ผ่านการอนุมัติของบอร์ดพีพีพี แล้ว 5 โครงการ มีมูลค่ารวม 3.34 แสนล้านบาท มีสองโครงการได้ผ่านการอนุมัติ จาก ครม.แล้ว คือ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง มูลค่า 5.46 หมื่นล้านบาท และโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี มูลค่าโครงการ 5.66 หมื่นล้านบาท ซึ่งทั้งสองโครงการได้บริษัทเอกชน ที่ชนะการประมูลแล้ว

“อภิศักดิ์”ชงครม.ต่ออายุลงทุนอีก 1 ปี

ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าเตรียมเสนอครม.พิจารณาต่ออายุมาตรการสนับสนุนการลงทุนเอกชนไปอีก 1 ปี ซึ่งมาตรการดังกล่าวได้สิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2559 เดิมกระทรวงการคลังไม่มีแนวคิดจะต่ออายุให้ แต่เมื่อภาคเอกชนยืนยันว่าจะมีการลงทุนในปี2560 ก็พร้อมที่จะสนับสนุน แต่การต่ออายุครั้งนี้จะมีเงื่อนไขบางอย่าง คงไม่ให้ทั้งหมดอย่างในช่วงแรก

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่าอยู่ระหว่างเร่งสรุปแนวทางสนับสนุนให้เอกชนลงทุน เพื่อเสนอครม.ภายในเดือนนี้ ขณะนี้กำลังพิจารณาเงื่อนไขเพิ่มเติม เช่น ให้มีการลงทุนในปี 2560 ไม่น้อยกว่าปี 2559 หรือการลงทุนครั้งล่าสุด

สำหรับมาตรการภาษี คงจะเหมือนกับที่เคยให้ไปก่อนหน้านี้ คือ ให้หักรายจ่ายเป็นจำนวน 2 เท่าของรายจ่ายเพื่อการลงทุนโดยจัดทำเป็นแผนงานหรือโครงการการลงทุนในทรัพย์สินใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับการดำเนินธุรกิจหลักของกิจการ เช่น เครื่องจักร ส่วนประกอบ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ยานพาหนะ อาคารถาวร (ไม่รวมที่ดิน และไม่รวมถึงอาคารถาวรที่ใช้เพื่อการอยู่อาศัย) และต้องเป็นรายจ่ายที่ได้จ่ายถึงวันที่ 31 ธ.ค.2560

หวังแรงกระตุ้นเศรษฐกิจปีนี้

การใช้สิทธิดังกล่าวต้องปฏิบัติตาม หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ตามที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด การหักค่าใช้จ่ายจะต้องหักรายจ่ายลงทุนในจำนวนที่เท่ากันตามรอบระยะเวลาบัญชีที่กฎหมายกำหนดให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา และให้เริ่มใช้สิทธินับตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีแรกที่มีสิทธิหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา

“คาดว่า มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุน จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมในปีนี้ ซึ่งรัฐต้องการให้การลงทุนเอกชน เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งสนับสนุนให้เศรษฐกิจโตให้ถึง 4% เพราะการลงทุนภาครัฐทำเต็มที่แล้ว”แหล่งข่าว กล่าว

ทั้งนี้มาตรการดังกล่าวเปิดให้หักค่าเสื่อมราคาได้ 2 เท่า ในปี 2559 สำหรับการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในทรัพย์สินใหม่ ภายในวันที่ 31 ธ.ค.2559 ได้แก่เครื่องจักร ส่วนประกอบ อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ยานพาหนะ และอาคารถาวร ไม่รวมที่ดิน และอาคารที่ถาวรที่ใช้เพื่อการอยู่อาศัย