‘มหานคร’ดึงทุนนอกถือหุ้นรับเงิน 8.4พันล.

‘มหานคร’ดึงทุนนอกถือหุ้นรับเงิน 8.4พันล.

‘เพซ ดีเวลลอปเมนท์’ ดึง 2 กองทุนใหญ่ระดับโลกถือหุ้น 49% มูลค่ารวม 8.4 พันล.ในโครงการมหานคร หวังนำเงินลดหนี้สินต่อทุนจาก 8 เท่า เหลือ 3 เท่า

นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) PACE เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมมือทางธุรกิจ กับ บริษัท อพอลโล โกลบอล แมเนจเมนท์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ “Apollo” หนึ่งในสถาบันจัดการการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของโลก เพื่อลงทุน 8.4 พันล้านบาท หรือ 235 ล้านดอลลาร์ ในโครงการ ‘มหานคร’ ผ่านการซื้อหุ้นเพิ่มทุนในบริษัท เพซ โปรเจ็ค วัน จำกัด (PP1) และบริษัท เพซ โปรเจ็ค ทรี จำกัด (PP3)

การลงทุนครั้งนี้ ประกอบด้วยสัดส่วนการลงทุนของอพอลโล 5.9 พันล้านบาท หรือ 165 ล้านดอลลาร์ และโกลด์แมน แซ็คส์ 2.5 พันล้านบาท หรือ 70 ล้านดอลลาร์ ซึ่งร่วมสัดส่วนลงทุน 49% โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักของโครงการมหานคร ได้แก่ โรงแรมบางกอก เอดิชั่น ส่วนรีเทล มหานคร คิวบ์ รวมถึงจุดชมวิว ออบเซอร์เวชั่นเด็ค และรูฟท็อปบาร์ที่สูงที่สุดในไทย

“การร่วมทุนครั้งนี้ คาดเสร็จสมบูรณ์ในปลายเดือนม.ค. ซึ่งช่วยให้โครงสร้างการเงินของบริษัทเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยจะนำเงินกว่า 2 พันล้านบาท คืนหนี้เงินกู้ ช่วยให้หนี้สินต่อทุนของบริษัทลดลงจาก 8 เท่า มาอยู่ที่ 3 เท่า และเงินส่วนที่เหลือใช้พัฒนาโครงการใหม่ และใช้ขยายธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้แบรนด์ ดีน แอนด์ เดลูก้า ทั้งในไทย และสหรัฐ”

กองทุนพอลโลลงทุนครั้งแรกในไทย

สำหรับ กองทุนอพอลโล จะเข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพในระยะยาวให้บริษัท และมีศักยภาพเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญ จากประสบการณ์การลงทุน และเครือข่ายทางธุรกิจ ที่กองทุนมีอยู่ นอกจากนี้กองทุนยังมีแผนที่จะร่วมทุนในโครงการใหม่ๆ ที่บริษัทจะดำเนินการต่อเนื่องในอนาคตอีกด้วย

“การลงทุนของอพอลโลครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่เข้ามาลงทุนในไทย และน่าจะเป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ด้วยมูลค่าสูงที่สุดในเอเชีย จุดที่น่าสนใจ คือ ส่วนของจุดชมวิวบนอาคารมหานคร หากพิจารณาจากจุดชมวิวของอาคารสูงทั่วโลก จะเห็นว่าจะเป็นสินทรัพย์ที่สร้างรายได้จำนวนมากในแต่ละปี โดยจะมีผู้ใช้บริการถึงปีละ 5 ล้านคน และหากดูจากเงินลงทุน 8.4 พันล้านบาท ถือหุ้นสัดส่วน 49% แปลว่าสินทรัพย์ทั้งหมดนี้จะมีมูลค่าที่แท้จริงกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท”

สำหรับโครงสร้างรายได้ของเพซ ดีเวลลอปเมนท์ ในปี 2560 ส่วนหลักจะมาจากการโอนโครงการมหานคร ปัจจุบันขายไปแล้ว 1 หมื่นล้านบาท เริ่มรับรู้เมื่อปี 2559 ราว 1 พันล้านบาท และจะรับรู้ในปีนี้อีก 9 พันล้านบาท และยังไม่รวมส่วนที่ยังเหลือขายอีกราว 5,000 ล้านบาท เชื่อว่าจะขายได้ทั้งหมดในปีนี้ และในช่วงปลายปีนี้ คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้บางส่วนจากโครงการมหาสมุทรราว 1-2 พันล้านบาท

รายได้“ดีนแอนด์เดลูก้า”หนุนปีละ20%

ขณะที่รายได้อีกส่วนหนึ่งจะมาจากธุรกิจเครื่องดื่มและอาหาร ภายใต้แบรนด์ ดีน แอนด์ เดลูก้า ซึ่งปีก่อนมีรายได้ราว 100 ล้านดอลลาร์ คาดว่าปีนี้จะเติบโต 15-20% จากการขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ และในอีก 2-4 ปีข้างหน้า บริษัทก็มีแผนที่จะนำบริษัทย่อยนี้แยกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

“ในอนาคตรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย จะค่อนข้างทรงตัวปีละประมาณ 1 หมื่นล้านบาท จากการเปิดโครงการใหม่ปีละ 2-3 แห่ง ขณะเดียวกันบริษัทจะเน้นรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้แน่นอน และอีกส่วนหนึ่งจะมาจากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจที่สร้างรายได้ค่อนข้างมั่นคง และไม่ผันผวนมากตามภาวะเศรษฐกิจ”

ปีนี้เตรียมแผนซื้อที่ดินเพิ่ม

สำหรับโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้ มีอย่างน้อย 2 โครงการ คือ คอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ มูลค่า 3,000 ล้านบาท และโครงการสกี รีสอร์ท ที่ประเทศญี่ปุ่น มูลค่า 4,000 ล้านบาท นอกจากนี้ มีแผนที่จะซื้อที่ดินเพิ่มในกรุงเทพ เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการต่อไป

ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ คือ โครงการมหาสมุทร มูลค่า 7,000 ล้านบาท จะรับรู้รายได้เต็มปีในปี 2561 โครงการคอนโดมิเนียม นิมิตหลังสวน จะรับรู้รายได้ในปี 2562 และโครงการใหม่ในปีนี้จะรับรู้รายได้ในปี 2563

ด้าน นายฟิลิป มินทซ์ ผู้บริหารกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเอเชียของอพอลโล กล่าวว่า อพอลโล รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้ร่วมลงทุนในสถาปัตยกรรมไอคอนระดับโลกอย่างมหานคร และได้ทำงานร่วมกับทีมงานเปี่ยมคุณภาพมากประสบการณ์ เช่น เพซ โดยเราหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะสานต่อความร่วมมือครั้งนี้ในระยะยาว เพื่อต่อยอดความสำเร็จยิ่งๆ ขึ้นไป โดยเราเชื่อมั่นว่ามหานครจะเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย

สมคิดชี้สร้างเชื่อมั่นนักลงทุนนอกต่อไทย

ขณะที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า การเข้ามาลงทุนของกองทุนระดับโลกในครั้งนี้ ถือเป็นสิ่งที่ช่วยสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติต่อประเทศไทย และเชื่อว่าจะมีนักลงทุนต่างชาติตามเข้ามาลงทุนอีกเป็นจำนวนมาก

“ในปี 2560 นี้ เชื่อว่าความเจริญทั้งหลายจะเข้ามาสู่เอเชียมากขึ้น และการลงทุนจะแตกต่างออกไป ในอดีตนักลงทุนจะมุ่งไปหาจีน แต่ปัจจุบันมีการกระจายมากขึ้น และไทยเองก็มีศักยภาพที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเหล่านี้เข้ามาเช่นกัน ขณะเดียวกันก็อยากให้เพซ ดีเวลลอปเมนท์เป็นบริษัทตัวอย่างในการพัฒนาธุรกิจไปสู่ระดับโลก และช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ”