'ลดพอร์ตแต่กำไร' ขาใหญ่คอนเฟิร์ม

'ลดพอร์ตแต่กำไร' ขาใหญ่คอนเฟิร์ม

เหล่าขาใหญ่พร้อมใจลดพอร์ต หลังตลาดหุ้นปี 59 ผันผวน ทว่ากับสร้างกำไรชนะตลาดที่มีผลตอบแทน 20% นำทีม “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” โกยกำไรเหนาะๆ

แม้ภาวะเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศตลอดปี 2559 จะตกอยู่ในสถานะฝืดเคืองเป็นเหตุให้ตลาดหุ้นไทยในช่วง 6 เดือนแรกของปีก่อนตกอยู่ในอาการผันผวน แต่เมื่อเข้าสู่ครึ่งปีหลังหุ้นไทยสามารถโชว์ฟอร์มเหนือชั้น เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นหลักทั่วโลก

สะท้อนผ่าน SET INDEX วันที่ 30 ธ.ค.2559 ที่ปิดตลาด 1,542.94 จุด ปรับตัวขึ้น 20% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2558 ที่มาไกลสุดที่ระดับ 1,288.02 จุด โดยมีปริมาณการซื้อขายระดับ 2,670,287.19 ล้านหุ้น ขยับขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่อยู่ระดับ 2,487,472.68 ล้านหุ้น และมีมูลค่าการซื้อขายระดับ 12,259,772.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากปีก่อนหน้าที่อยู่ระดับ 9,997,371.75 ล้านบาท

ขณะที่มลูค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดจบที่ตัวเลข 15,079,272.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากปี 2558 ที่อยู่ระดับ 12,282,754.70 ล้านบาท แม้จะมีจำนวนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดรายใหม่เพียง 11 บริษัท เทียบกับปี 2558 ที่มีบริษัทเข้าใหม่มากถึง 23 บริษัท

ทว่าตลาดหุ้นไทยที่มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันขยับขึ้น 22% จาก 41,141.45 ล้านบาท เป็น 50,244.97 ล้านบาท เหล่านักลงทุนชื่อดังจะโกยกำไรเข้ากระเป๋าตามเป้าหมายหรือไม่ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' มีคำตอบ

'ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร' ในฐานะผู้เผยแพร่แนวความคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคนแรกของประเทศไทย ยอมรับว่า แม้ตลอดปี 2559 จะลดพอร์ตหุ้นจากเกือบ 'ร้อยเปอร์เซ็นต์' เหลือประมาณ 50-60% เพื่อถือเงินสดและโยกเงินบางส่วนไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศมากขึ้น หลังหุ้นไทยหลายตัวมีราคาแพงเกินปัจจัยพื้นฐาน ขณะที่ดัชนีมีความผันผวน

แต่พอร์ตหุ้นส่วนตัวยังคงสร้างผลตอบแทนได้เฉลี่ย 30% ถือเป็นการลงทุนที่ชนะตลาดที่ขยายตัว 20% หลังหุ้นบางตัว (ไม่เอ่ยชื่อ) สร้างผลกำไรได้มากกว่า 50% ขณะที่หุ้นบางตัวมีรีเทิร์นที่ดี เรียกว่า ขยับตามดัชนีที่เพิ่มขึ้น

'สไตล์การลงทุนส่วนตัว คือ ไม่ถือเงินข้ามเดือน หรือขายหุ้นบางตัวเพื่อไปซื้อตัวที่ดีกว่า วันนี้ต้องยอมรับว่า หุ้นไทยไม่ถูก โอกาสสร้างผลตอบแทนสูงเหมือนอดีตทำได้ยากแล้ว' 

เมื่อถามถึงทิศทางตลาดหุ้นปี 2560 'ดร.นิเวศน์' ระบุว่า หากพิจารณาจากสถิติตลาดหุ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจะพบว่า หากปีก่อนหน้าตลาดหุ้นสร้างผลตอบแทนที่ดี ปีถัดไปมักสร้างผลตอบแทนได้น้อยกว่า

สอดคล้องกับมุมมองสถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศที่ว่า อาจยังคงอยู่ในลักษณะเดิมๆ คือ ยังไม่มีความชัดเจนมากขึ้นจากปี 2559 แม้หลายฝ่ายจะออกมาคาดการณ์ว่า ภาวะเศรษฐกิจในประเทศจะค่อยๆดีขึ้นก็ตาม

ขณะเดียวกันการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2559 และมีแนวโน้มจะขยับขึ้นอีกหลายรอบตลอดปี 2560 อาจทำให้เงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นเกิดใหม่รวมถึงตลาดหุ้นไทย

'นโยบายเศรษฐกิจและการเงินของ 'โดนัลด์ ทรัมป์' ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อาจทำให้การส่งออกไทยยังไม่ฟื้นตัว ฉะนั้นเศรษฐกิจไทยอาจยังไม่มีท่าทีจะฟื้นตัวอย่างโดดเด่น'

เซียนหุ้นรุ่นลายคราม ย้ำว่า ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปี 2560 อาจออกไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะ 'กลุ่มเทเลคอม' เพราะปีนี้อาจมีต้นทุนเพิ่มขึ้นหลังจะมีการเปิดประมูลใบอนุญาตใหม่ (ไลเซนส์)

รวมถึง 'กลุ่มธนาคาร' สะท้อนผ่านตัวเลขสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPLในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง แต่อาจปรับตัวดีขึ้นในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2560

สุดท้าย คือ 'กลุ่มพลังงงาน' แม้ปี 2559 ผลประกอบการจะออกมาดี หลังราคาน้ำมันขยับตัวสูงขึ้น แต่ยังถือมาว่ามีความเสี่ยง เพราะหากราคาเชื้อเพลิงขยับตัวลดลงหรือไม่เพิ่มขึ้นผลการดำเนินงานปี 2560 คงไม่เติบโตเหมือนปีก่อน

'ตลอดปี 2560 นักลงทุนคงต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนหุ้นไทย เพราะตลาดยังคงผันผวนต่อเนื่องจากปีก่อน ส่วนใหญ่กังวลเรื่องเฟดขึ้นดอกเบี้ย และนโยบายการบริหารประเทศของ โดนัลด์ ทรัมป์ เพราะทุกอย่างย่อมเชื่อมโยงต่อการลงทุนแทบทั้งสิ้น' 

'อาจารย์นิเวศน์' ฝากข้อคิดเกี่ยวกับการลงทุนว่า หัวใจสำคัญ คือ ต้องมั่นใจว่าซื้อแล้วจะไม่ขาดทุน ฉะนั้นจงเลือกหุ้นให้ถูกตัว ด้วย 3 กลยุทธ์ง่ายๆ คือ 1.บริษัทต้องมีรายได้และกำไรเติบโตต่อเนื่องในช่วง 3 ปีข้างหน้า 2.ต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่า บริษัทนั้นยังคงมีปันผลสม่ำเสมอหรือไม่ และ 3.หุ้นตัวนั้นต้องไม่มีค่า P/E สูงเกิน 20 เท่า หากเจอหุ้นที่มีคุณสมบัติลักษณะนี้ ถือเป็นหุ้นที่ดี

'นักลงทุนหลายรายคงตกอยู่ในภาวะมีเงิน แต่ไม่รู้จะซื้อหุ้นตัวไหน เพราะหุ้นไทยแพงเกินไป' 

ด้าน 'อนุรักษ์ บุญแสวง' หรือ 'โจ ลูกอีสาน' อดีตนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) บอกว่า แม้ตลาดหุ้นไทยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2559 จะตกอยู่ในภาวะผันผวน จนจำเป็นต้องลดพอร์ตลงทุนจาก 100% เหลือเพียง 60% แบ่งเป็นหุ้นไทย 50% หุ้นเวียดนาม 10% (ถือเงินสด 40%) ทำให้ตลอดปีที่ผ่านมาไม่สามารถหา 'หุ้นเปลี่ยนชีวิต' ได้เหมือนปีก่อนหน้า

แต่ตลอดปี 2559 กับสามารถสร้างผลตอบแทนได้เท่าตลาดที่ระดับ 20% ซึ่งกำไรส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดอยู่ในช่วงขาลง ด้วยการอาศัยจังหวะเข้าไปเก็บหุ้นราคาถูก เมื่อถามถึงหุ้นที่สร้างผลตอบแทนโดดเด่นสุดในพอร์ต เซียนหุ้น ตอบว่า จากหุ้นทั้งหมด 50 ตัวประจำพอร์ตมีหุ้นเด่นเพียงไม่กี่ตัว

นั่นคือ 1.หุ้น โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ หรือ HMPRO และ 2.หุ้น ซีพี ออลล์ หรือ CPALL เนื่องจากตลอดปี 2558 ราคาหุ้นทั้ง 2 ตัว ปรับลดลงค่อนข้างมากเฉลี่ย 17.58% และ 7.65% ตามลำดับ แต่ตลอดปี 2559 หุ้น HMPRO และหุ้น CPALLกลับค่อยๆขยับตัวขึ้นเฉลี่ย 50% และ 59.24% ตามลำดับ

ส่วนหุ้นฉุดพอร์ตให้มี 'กำไรลดลง' เท่าที่เห็นยังไม่มีตัวไหนทำกำไรลดลงอย่างชัดเจน เต็มที่มี 2-3 ตัวเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลาง แม้จะกำไรลดลง แต่ยังเป็นเพียงสัดส่วน 2-3% ของมูลค่าพอร์ตโดยรวมเท่านั้น ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับพอร์ตรวม

'ปัจจัยบวกไม่เด่น ปัจจัยลบไม่ชัดเจน' เจ้าของชื่อล็อกอิน 'ลูกอีสาน' ในเว็บไซต์ Thaivi วิเคราะห์ตลาดหุ้นไทยปี 2560 เช่นนั้น ก่อนขยายความว่า ดัชนีอาจอยู่ในลักษณะไซด์เวย์เฉลี่ย 200-300 จุด ถือเป็นสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับปี 2559

รูปแบบเช่นนี้นักลงทุนแนววีไอชอบมากกว่า 'ตลาดหุ้นกระทิง' เพราะตลาดหุ้นไซด์เวย์มักขึ้นลงตามปัจจัยพื้นฐานของบริษัท แต่ถ้าตลาดหุ้นกระทิง ราคาหุ้นจะมีรูปแบบขึ้นแรงลงแรงเหมือนกันเกือบทุกตัว โดยไม่สนใจพื้นฐาน

เขา บอกว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยปี 2560 ยังคงน่าสนใจ โดยเฉพาะหุ้นที่ได้รับผลดีจากโครงการเมกะโปรเจคของภาครัฐ เช่น กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง แต่นักลงทุนคงต้องไปศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน เพราะว่าหุ้นบางตัวราคาขยับขึ้นไปสูงแล้ว แต่ก็ยังมีบางตัวที่ราคายังต่ำอยู่

เมื่อถามถึงปัจจัยต่างประเทศ 'โจ ลูกอีสาน' วิเคราะห์ว่า แน่นอนว่า นักลงทุนคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจและการเงินที่มีผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายของกลุ่มยุโรป ,สหรัฐอเมริกา และประเทศจีน ซึ่งนโยบายของทั้ง 3 ประเทศอาจมีผลต่อการลงทุนมากกว่าประเทศอื่นๆ

'การลงทุนปีนี้ยังคงคาดเดาได้ยาก เพราะทั่วโลกยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แม้จะมีการลงทุนเชิงรุกของภาครัฐฯคอยสนับสนุนก็ตาม แต่คงช่วยไม่ได้มาก เพราะนักลงทุนรับรู้ไปหมดแล้ว เว้นตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดีอาจช่วยได้บ้าง' 

อดีตนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ทิ้งท้าย ท่ามกลางความไม่แน่นอนในหลากหลายเรื่อง นักลงทุนควรกระจายพอร์ตการลงทุนให้มีความหลากหลาย อย่าเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง อย่างน้อยถือเป็นการป้องกันความเสี่ยง หากกลุ่มใดเจอเรื่องไม่คาดฝัน ที่สำคัญต้องศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนลงทุนเสมอ ห้ามซื้อตามคนอื่น เพราะเซียนทั้งหลายมักบอกชื่อหุ้นที่ตัวเองได้กำไร ส่วนตัวที่ขาดทุนไม่มีใครพูด

'แม้จะมีสถานการณ์มากมายคอยกดดันตลาดหุ้น แต่หุ้นไทย ยังคงน่าลงทุนเสมอ เพียงแต่ต้องเลือกให้ถูกเท่านั้น' 

หุ้นสวิง 'เสี่ยป๋อง' สร้างกำไรแพ้ตลาด

'การลงทุนตลอดปีที่ผ่านมาทำผลตอบแทนได้ดีสุดเพียง 10-12% เรียกว่า ทำผลงานได้แพ้ตลาด' 'เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง' กูรูหุ้นเทคนิค กล่าวยอมรับ

สาเหตุเกิดจาก 'เลือกหุ้นผิดตัว เข้าลงทุนผิดจังหวะ' เมื่อเริ่มต้นผิดแล้วเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ หุ้นที่ถืออยู่ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้จำเป็นต้องตัดขายขาดทุน เพราะปล่อยหุ้นออกไม่ทัน ถือเป็นการลงทุนที่ยากจริงๆ สำหรับนักลงทุนเทคนิค เพราะตลาดมีความกังวลในหลากหลายเรื่อง

'หุ้นที่ทำให้พอร์ตขยายตัวหลักสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่มาจากหุ้นขนาดใหญ่ เช่น หุ้น ปตท. หรือ PTT รวมถึงกลุ่มธนาคาร และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งหุ้นเหล่านี้เพิ่งซื้อเข้ามาในช่วงเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา'

สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปี 2560 ยอมรับว่า คาดเดาลำบาก เพราะยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนในหลากหลายด้าน แต่เชื่อว่า เศรษฐกิจประเทศไทยจะค่อยๆ ฟื้นตัว ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนโครงการเมกะโปรเจค ฉะนั้นย่อมเกิดการจ้างงานมากขึ้น ส่งผลให้มีเงินไหลเข้าระบบ

'ตลาดหุ้นไทยกับความไม่แน่นอนยังคงเป็นของคู่กัน ยิ่งปีนี้เรื่องนอกบ้าน ทั้งฝั่งยุโรปและสหรัฐอเมริกาอาจมีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ฉะนั้นนักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด' เสี่ยป๋อง แสดงความเห็นเช่นนั้น

นักลงทุนด้านเทคนิค เปิดเผยกฎเหล็กของการลงทุนว่า 'นักลงทุนที่ดีต้องห้ามโลภ' หากเห็นหุ้นทรงเริ่มไม่ดีคุณต้องกล้าขาย กล้าตัดขาดทุน เพราะในโลกของการลงทุนทุกอย่างคือ “กำไรขาดทุน” ดังนั้นต้องกล้าตัดขาย อย่าปล่อยให้หุ้นที่มีกำไรพลิกเป็นขาดทุนเด็ดขาด เพราะมันจะทำให้พอร์ตเสียหายหนัก

ปัจจุบันถือเงินสดเกือบ 90% เพราะไม่สามารถคาดเดาทิศทางของตลาดหุ้นได้ ฉะนั้นการลงทุนต่อไปจะเกิดขึ้นเมื่อมีสตอรี่ใหม่เข้ามาเท่านั้น ยกตัวอย่าง ที่ผ่านมาหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกับ 'สินค้าโภคภัณฑ์' ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน ,ปิโตรเคมี และถ่านหิน ที่ขยับขึ้นมาก่อนหน้า ดังนั้นหากจับจังหวะได้ดีก็อาจเข้าลงทุน