ปิดฉากหุ้นไทยปี59 บูม15ล้านล้าน

ปิดฉากหุ้นไทยปี59 บูม15ล้านล้าน

ปิดฉากปี 59 มูลค่าตลาดหุ้นแตะ 15 ล้านลบ. ดัชนีพุ่ง19.79% ครองแชมป์ผลตอบแทนสูงสุดในอาเซียน ทองแกว่งปิดสิ้นปีปรับขึ้น 9% เงินบาทแข็งค่า 0.50%

ปี 59 เป็นอีกปีที่ตลาดทุนและตลาดเงินมีความผันผวนอย่างมาก ทั้งดัชนีหุ้น ค่าเงินบาทและทองคำที่ถูกผูกโยงกับเงินทุนเคลื่อนย้าย รวมทั้งในปีนี้มีเหตุการณ์สำคัญๆ ของโลกไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสหรัฐ ที่ผลออกมาพลิกล็อก โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ รวมทั้งเรื่องการถอนตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป หรือแบร็กซิท

แม้ช่วงท้ายปีจะมีกระแสเงินทุนไหลออกจากผลการเลือกตั้งสหรัฐ แต่จบปี 2559 ตลาดหุ้นไทยก็ยังคงเป็นแชมป์ตลาดหุ้นอาเซียนที่สร้างตอบแทนให้กับนักลงทุนสูงสุด โดยดัชนีปิดการซื้อขายวันที่ 30 ธ.ค. ที่ระดับ 1,542.94 จุด เพิ่มขึ้น 254.92 จุด หรือ 19.79% คิดเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ประมาณ 15.08 ล้านล้านบาท เทียบดัชนีปี 2558 ที่ 1,288.02 จุด โดยระหว่างปีดัชนีขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,558.32 จุด เมื่อวันที่ 15 ส.ค. หลังจากลงไปทำจุดต่ำสุดของปีที่ 1,220.96 จุด ตั้งแต่วันที่ 11 ม.ค. ที่ผ่านมา มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันราว 5 หมื่นล้านบาท

ต่างชาติซื้อสุทธิ 7.5 หมื่นล้าน

แรงหนุนในปีนี้มาจากการเข้าซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติราว 7.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่พอร์ตบัญชีโบรกเกอร์ซื้อสุทธิ 2.6 หมื่นล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 3.5 พันล้านบาท และนักลงทุนในประเทศ ขายสุทธิ 9.8 หมื่นล้านบาท

หุ้นกลุ่มที่โดดเด่นสุดในปีนี้ คือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ ผลจากราคาน้ำมันฟื้น โดยกลุ่มทรัพยากร เพิ่มขึ้น 38% นำโดยหุ้นกลุ่ม ปตท. ถัดมาคือ กลุ่มเกษตรและอาหาร เพิ่มขึ้น 35.5% กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 33% ส่วนอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เหลือต่างปรับตัวขึ้นทั้งหมด กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง เพิ่มขึ้นน้อยที่สุด ราว 3.5%

ทั้งนี้ตลาดหุ้นในเอเชีย ปี 2559 ดัชนีเสิ่นเจิ้นของจีน ถือเป็นดัชนีที่มีผลประกอบการย่ำแย่สุดในเอเชีย ร่วงลงจากปีที่แล้วถึง 15% ขณะดัชนีหั่งเส็ง ของฮ่องกง ดีขึ้น 0.6% โดยมีไทย ที่ตลอดทั้งปีดัชนีหุ้นพุ่งขึ้นมาเกือบ 20% กลายเป็นตลาดที่มีผลประกอบการดีที่สุดในกลุ่มตลาดขนาดใหญ่ของภูมิภาค ตามด้วยอินโดนีเซีย ที่ขยับขึ้นมา 16% ส่วนในกลุ่มที่มีผลประกอบการย่ำแย่ลง นอกจากจีนแล้ว ยังมีมาเลเซีย ที่ตลอดทั้งปีดัชนีร่วงลง 3.4% และฟิลิปปินส์ที่ 1.5%

ก้องเกียรติเชื่อปีหน้าหุ้นไปต่อได้

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเซียพลัส กรุ๊ป กล่าวว่า สถานการณ์ในปีหน้าจะเป็นลักษณะที่ต่อเนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นเงินสกุลดอลลาร์ที่แข็งค่า ทำให้เงินทุนไหลกลับถือครองสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ และตลาดหุ้นสหรัฐจะดีต่อเนื่อง ประกอบกับเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเอื้อต่อภาคธุรกิจ

“เชื่อว่าเงินลงทุนจะยังไม่ไหลกลับมายังตลาดเกิดใหม่ จนกว่าภาพจะค่อยๆ กลับข้าง คือ ค่าเงินดอลลาร์แข็งเกินไป และหุ้นสหรัฐเข้าขั้นแพงมากแล้ว ซึ่งคิดว่าน่าจะใช้เวลาไปถึงช่วงไตรมาส 2 เป็นอย่างน้อย”

สำหรับการลงทุนในไทยแม้เงินทุนจะยังไม่ไหลเข้ามากนัก แต่เชื่อว่าตลาดยังไปต่อได้ เพราะสภาพคล่องในประเทศยังสูงอยู่ แต่การปรับตัวขึ้นคงจะไม่ได้มากเหมือนปี 2559 เพราะกำไรบริษัทจดทะเบียนปีที่ผ่านมาโตถึง 34% แต่ปี 2560 คาดเติบโตเพียง 7.8% ฉะนั้นการเติบโตจึงน่าจะชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ

“ขณะที่มูลค่าของตลาดหุ้นไทยขณะนี้เริ่มไม่ถูกแล้ว หลังจากปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง จนอยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค โดยกลยุทธ์สำคัญในปี 2560 คงต้องเน้นกระจายการลงทุนในหลายตลาดเพื่อลดความเสี่ยง ส่วนการเลือกหุ้นนั้น คงต้องแล้วแต่ความถนัดว่าจะลงทุนเป็นกลุ่มอุตสาหกรรม หรือเน้นเจาะเป็นรายตัว”

เอเซียพลัสคาดปีหน้า ดัชนี 1,600 จุด

ด้านบทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ประเมินว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 60 จะอยู่ที่ 1,600 จุด โดยคาดหวังจะให้ผลตอบแทน 4% จากดัชนีที่ระดับปัจจุบัน ประเมินกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนตลาดรวมในปี 60 จะอยู่ที่ 9.52 แสนล้านบาท เติบโต 7.85% อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับบางประเทศในแถบเอเชีย

ภาพรวมตลาดมีแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกค่อนข้างสูง ทั้งประเด็นประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) มีโอกาสที่จะถอนตัวออกจาก EU เพิ่มเติม ตามสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะอิตาลีจะมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งหากผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งสนับสนุนให้ออกจาก Brexit มีแนวโน้มจะสร้างความผันผวนให้ค่าเงินยูโรอย่างมาก ขณะที่สหรัฐคาดว่าปี 60 มีโอกาสจะขึ้นดอกเบี้ยได้ถึง 1%

ด้านนายนเรศ งามอภิชน นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่าปี 2559 ภาพรวมตลาดอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ด้วยฐานที่ต่ำจากระดับ 1,200 จุด ได้แรงหนุนจากการพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายๆ ด้านจากรัฐบาล

ส่วนทิศทางการลงทุนในปีหน้าเชื่อว่าจะยังเติบโตได้ดี ตามเศรษฐกิจที่จะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ตลาดจะผันผวนมากกว่าปีนี้ ทำให้ผลตอบแทนตลาดโดยภาพรวมคงจะไม่ได้ดีเท่ากับปี 2559 ขณะที่เงินลงทุนต่างชาติน่าจะยังไหลเข้าได้ แม้สหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว เนื่องจากที่ผ่านมาต่างชาติขายหุ้นไทยออกไป 4 แสนล้านบาท และเพิ่งจะเริ่มต้นซื้อกลับในปี 2559 นี้

ทองคำให้ผลตอบแทน 9%

ส่วนทิศทางราคาทองคำรอบปี 2559 เปิดต้นปีที่ 1,060 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่เกือบ 1,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยคิดเป็นสกุลบาทที่ราว 22,800 บาทต่อบาททองคำ หลังจากนั้นราคาทองคำอ่อนตัวลงอีกครั้ง หลังจากที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาทองคำลงมาแตะที่ราว 1,125 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนจะปรับเริ่มฟื้นตัวขึ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี มาอยู่ที่ระดับ 1,155 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือปรับขึ้นราว 9%

นายวรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส มองว่า แนวโน้มราคาทองคำกลับมาอยู่ในทิศทางเชิงบวกอีกครั้งในช่วงท้ายของปี หลังจากที่ขึ้นมาแตะ 1,160 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นผลจากการที่นักลงทุนแห่ซื้อพันธบัตรสหรัฐระยะสั้นกันอย่างหนาแน่น สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนยังคงไม่เชื่อมั่นต่อภาพการลงทุนโดยรวม จึงเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ภาพรวมยังแนะนำชะลอการลงทุน เพราะการปรับขึ้นที่ผ่านมา ปริมาณการซื้อขายยังเบาบาง ทำให้ราคาเหวี่ยงได้มาก

บาทปี 59 แข็งค่า 0.50%

ส่วน ค่าเงินบาทในรอบปี 2559 เปิดตลาดและปิดตลาดในระดับใกล้เคียงกัน โดยวานนี้(30ธ.ค.)เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 35.79-35.80 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนค่าสุดที่ระดับ 35.88 บาทต่อดอลลาร์ โดยระหว่างปีเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 34.51-36.40 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าสุดในช่วงเปิดตลาดต้นปี ที่ 36.40 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนจะปรับตัวแข็งค่าในระหว่างปีจนไปแข็งค่าสุดที่ระดับ 34.51 บาทต่อดอลลาร์ในช่วงกลางเดือน ส.ค. จากเงินทุนที่ไหลเข้า และตัวเลขเศรษฐกิจของไทยในไตรมาสสองที่ปรับตัวดีขึ้น

ทั้งนี้เงินบาทปีนี้ถือว่าแข็งค่าขึ้นราว 0.50% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2558

อย่างไรก็ตามภาพรวมความเคลื่อนไหวในปีนี้ยังได้รับปัจจัยหลักจากการส่งสัญญาณทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ รวมถึงการเลือกตั้งประธานธิบดีสหรัฐ รวมถึงปัจจัยภายในประเทศ