‘แอคคอร์’ควบกิจการเล็งส่งแบรนด์ใหม่ผุดทั่วไทย

‘แอคคอร์’ควบกิจการเล็งส่งแบรนด์ใหม่ผุดทั่วไทย

ตลอดปี 2559 ดีลใหญ่ในธุรกิจโรงแรมระดับโลกที่ต้องจับตามองว่าจะส่งผลต่อตลาดไทยด้วยในอนาคตอันใกล้ด้วยนั้น คือดีลของ แอคคอร์โฮเทล

บริษัทรับบริหารโรงแรมจากยุโรป ประกาศควบรวมกิจการกับ แฟร์มอนต์ ราฟเฟิลส์ โฮเทลส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (FRHI) กลุ่มโรงแรมระดับลักชัวรีแถวหน้าของโลกในเดือน ก.ค. ตามด้วยเดือน พ.ย.ประกาศเข้าถือหุ้น 30% ในกลุ่มโรงแรมบูติค ภายใต้แบรนด์ ทเวนตี้ไฟว์อาวเวอร์ โฮเทล พร้อมกับแผนเตรียมผลักดันการขยายโรงแรมนี้ไปทั่วโลก

ต่อมาในเดือน ธ.ค. ยังประกาศลงทุนอีกกว่า 24 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 622 ล้านบาท) ประกาศความร่วมมือกับ บันยันทรี โฮลดิ้ง ในการพัฒนาและร่วมบริหารโรงแรมภายใต้แบรนด์บันยันทรีทั่วโลก ทำให้แอคคอร์โฮเทล กลายเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนราว 5% ของบันยันทรีและมีความสามารถในการซื้อหุ้นเพิ่มเติมได้อีก 5% ในอนาคตด้วย

ผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นโดยตรงต่อธุรกิจโรงแรมในไทยคือ แบรนด์โรงแรมที่หลากหลาย ซึ่งปักธงในประเทศอื่นๆ ทั่วโลกมาแล้ว มีโอกาสจะ “ขยายเชิงรุกสู่ไทยมากขึ้น” ตามแผนการดำเนินธุรกิจของแอคคอร์โฮเทล ซึ่งปัจจุบันครองตำแหน่งเชนใหญ่ที่มีจำนวนโรงแรมในเครือมากที่สุดในประเทศไทย และยังมีเป้าหมายขยายกิจการต่อเนื่อง

แพทริค บาสเซ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ แอคคอร์โฮเทล ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ระบุว่า ปัจจุบันแอคคอร์มีโรงแรมในไทย 69 แห่ง รวมกว่า 1.6 หมื่นห้อง ภายใต้ 9 แบรนด์ ครอบคลุมตั้งแต่ระดับลักชัวรีถึงบัดเจ็ตโฮเทล (ราคาประหยัด) โดยแบ่งเป็นโรงแรมในกรุงเทพฯ มากที่สุด 27 แห่ง รวม 7,798 ห้อง รองลงมาได้แก่ ภูเก็ต มี 16 โรงแรม จำนวน 3,670 ห้อง ขณะเดียวกัน มีโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีกถึง 18 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ, พัทยา, ภูเก็ต, เกาะสมุย, เชียงราย, สุราษฎร์ธานี และศรีราชา

ส่งผลให้ภายในปี 2562 เครือแอคคอร์จะมีโรงแรมที่ให้บริการในไทยกว่า 87 แห่ง

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมองอนาคตทั้งการขยายโรงแรม และธุรกิจเรสซิเดนส์ (Branded Residences) ด้วยการคัดเลือกแบรนด์ที่มีศักยภาพมานำเสนอต่อนักลงทุน ซึ่งจะรวมเอาแบรนด์ที่เพิ่งควบรวมกิจการหรือเข้าถึอหุ้นมาเปิดตลาดมาเป็นไฮไลท์ด้วย วางกลยุทธ์ตาม 4 เซ็กเมนต์ที่น่าสนใจ ได้แก่ มิดสเกล, อัพสเกล, อัพเปอร์ อัพสเกล และลักชัวรี ภายใต้แบรนด์ในเครือ ได้แก่ ราฟเฟิลส์ และแฟร์มอนต์ ที่อยู่ภายใต้ FRHI ที่เพิ่งผนวกเข้ามา และแบรนด์ดั้งเดิมที่มีอยู่ ได้แก่ โซฟีเทล, โซ โซฟีเทล, เอ็มแกลเลอรี บาย โซฟีเทล, พูลแมน, สวิสโซเทล, แกรนด์ เมอร์เคียว และโนโวเทล

การควบรวมกิจการกับ FRHI ที่มีโรงแรมทั่วโลกกว่า 154 แห่งในกว่า 40 ประเทศ รวม 40 แห่งที่อยู่ระหว่างการพัฒนานั้น ช่วยทำให้ฐาน “ตลาดบน” ของแอคคอร์แข็งแกร่งมากขึ้น หลังจากที่ปักหลักเป็นเบอร์หนึ่งของตลาดระดับกลางด้วยแบรนด์ที่เป็นเรือธง เช่น ไอบิส และโนโวเทล มานาน แต่ที่ต้องจับตามองไม่แพ้กันคือ ตลาด “มิลเลนเนียลส์” หรือลูกค้ารุ่นใหม่อายุ 18-35 ปี ที่จะมองหาโรงแรม “ตอบโจทย์เชิงไลฟ์สไตล์” มากขึ้น และกลายเป็นช่องทางให้แบรนด์ใหม่ที่เพิ่งถูกรวมเข้ามาอย่าง ทเวนตี้ไฟว์อาวเวอร์ โฮเทล มีโอกาสเปิดใหม่ในไทยได้

โดยเฉพาะเมื่อพิจารณากำลังซื้อ“คนไทย” ในรอบปี 2559 ซึ่งพบว่าคนไทยยังเข้าพักโรงแรมแอคคอร์ในไทยเพิ่ม 5.65% และเข้าพักโรงแรมแอคคอร์ซึ่งตั้งอยู่ทั่วโลกเพิ่มราว 8.9% ขณะที่อัตราการใช้โรงแรมในเครือแอคคอร์ทั่วโลกของคนไทยนั้น ห้องพักในไทยยังครองส่วนแบ่งสูงสุดที่ 16.55%

ทั้งนี้ จากการวิจัยระบุว่ากลุ่มมิลเนียลส์ ใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวต่อปีที่ 3,000 ยูโร หรือราว 1.16 แสนบาท โดยคาดว่าภายในปี 2563 จะมีคนกลุ่มนี้เดินทางกว่า 300 ล้านคน และ 20% เป็นการเดินทางเที่ยวต่างประเทศในภาพรวม

ดังนั้นนอกจาก ทเวนตี้ไฟว์อาวเวอร์ โฮเทล ที่จะสื่อสารตรงถึงกลุ่มลูกค้านี้แล้ว แอคคอร์จะนำเสนออีก 2 แบรนด์ใหม่เข้าประเดิมตลาดไทยเพื่อรองรับกลุ่มมิลเลนเนียลส์ไทยและต่างชาติโดยตรง ได้แก่ มาม่า เชลเตอร์ ที่เตรียมปักธงแห่งแรกในย่านสุขุมวิทภายในปี 2560 รวมถึงการเข้าชนกับบริการที่พักอย่าง แอร์บีเอ็นบี ด้วยการใช้แบรนด์ โจแอนด์โจ เข้าทำตลาดภายใน 3 ปีนี้ วางโมเดลธุรกิจนำส่วนผสมของโฮสเทล และบ้านพักมาไว้ในแห่งเดียวกัน