'YLG'มองราคาทองปีหน้าแกว่ง1,090-1,260ดอลลาร์/ออนซ์

'YLG'มองราคาทองปีหน้าแกว่ง1,090-1,260ดอลลาร์/ออนซ์

"วายแอลจี" มองราคาทองปีหน้าแกว่ง1,090-1,260 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ 18,600-21,500 บาทต่อบาททองคำ แนะจับตาเฟดขึ้นดอกเบี้ยและนโยบายของทรัมป์

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวถึงภาพรวมราคาทองคำในตลาดโลกปี 60 วายแอลจีประเมินกรอบความเคลื่อนไหวราคาทองคำมีแนวรับที่ 1,090 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 18,600 บาทต่อบาททองคำ และแนวต้านอยู่ที่ 1,260 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 21,500 บาทต่อบาททองคำ

เบื้องต้นจับตาแนวรับบริเวณ 1,090 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากยืนได้อย่างแข็งแกร่งยังมีโอกาสที่ราคาทองคำจะขยับขึ้นและทดสอบแนวต้าน 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากไม่ผ่านจะมีการอ่อนตัวลงเพื่อตั้งฐานราคาอีกครั้ง แต่หากผ่าน 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ราคาทองคำมีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้นต่อเพื่อทดสอบแนวต้านสำคัญถัดไปในโซน 1,250-1,260 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งหากราคาทองคำสามารถกลับไปยืนเหนือโซนดังกล่าวได้มีโอกาสทดสอบ High เดิมของปี 2559 บริเวณ 1,375 ดอลลาร์ต่อออนซ์

อย่างไรก็ตาม หากราคาทองคำหลุดแนวรับระดับ 1,090 ดอลลาร์ต่อออนซ์จะส่งผลให้เกิดแรงขายและกดดันให้ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวลงต่อเพื่อทดสอบทดสอบ Low ของปี 2558บริเวณ 1,045 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับประเด็นหลักที่อาจเป็นปัจจัยกดดันความเคลื่อนไหวของราคาทองคำในปี 60 คือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ 3 ครั้งตามคาดหรือปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่รวดเร็วมากกว่า 3 ครั้งอาจยิ่งหนุนให้สกุลเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรให้พุ่งขึ้นซึ่งเป็นปัจจัยหนักที่จะกดดันราคาทองคำ

นอกจากนี้การคาดการณ์ในเชิงบวกต่อนโยบายของนาย โดนัลด์ ทรัมป์จะกระตุ้นความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงของนักลงทุนต่อเนื่องในปีหน้าซึ่งความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้เกิดแรงขายทองคำที่อยู่ในสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นกัน ทั้งนี้ นับตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นต้นมา กองทุน SPDR ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีการลดการถือครองทองคำต่อเนื่องมากกว่า 130 ตันสะท้อนความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่ลดลง ตลอดจนอุปสงค์ทองคำในจีนและอินเดียที่อาจซบเซาต่อเนื่องซึ่งทำให้ราคาทองคำขาดปัจจัยหนุนและกดดันการฟื้นตัวของราคาทองคำในปีหน้าได้