ธปท.จับตาเบี้ยวหนี้ตั๋ว‘บี/อี’

ธปท.จับตาเบี้ยวหนี้ตั๋ว‘บี/อี’

ธปท.จับตาเบี้ยวหนี้ตั๋วบี/อี เชื่อความเสี่ยงอยู่ในวงจำกัดไม่กระทบเสถียรภาพการเงิน เผยสินเชื่อแบงก์มี “เอ็นพีแอล” เพิ่มจากผู้ประกอบการรายเล็ก

ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ไม่กังวลกรณีบริษัท เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ KC ผิดนัดชำระหนี้ตั๋วแลกเงิน 130 ล้านบาท ในวันที่ 15 ธ.ค. 2559 แต่ยังติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมั่นใจว่าไม่กระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงิน

นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่าการผิดนัดชำระหนี้ตั๋วบี/อีของบริษัทเค.ซี.ฯ ถือเป็นสถานการณ์ที่ธปท.ติดตามดู แต่โดยภาพรวมไม่ถึงกับกังวลมาก เพราะเชื่อว่าสถานการณ์นี้จะอยู่ในวงจำกัด ไม่กระจายออกไปจนกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงิน

“เราจับตาดูอยู่ แต่ไม่ถึงกับกังวล เพราะยังเป็นแค่บางบริษัท หรือบางจุด ไม่ได้กระจายตัวออกไปมากนัก”

นายเมธี กล่าวว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดกับตั๋วบี/อีหรือหุ้นกู้ที่ไม่มีการจัดอันดับเรทติ้ง ซึ่งโดยรวมๆ หุ้นกู้กลุ่มนี้มีสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับหุ้นกู้ทั้งระบบ และการที่ธปท. ออกมาเตือนให้ผู้ลงทุนระมัดระวังการลงทุนในตราสารกลุ่มที่ไม่มีเรทติ้ง ก็ทำให้ผู้ลงทุนหลายกลุ่มเพิ่มความระมัดระวังการลงทุนที่มากขึ้น

ส่วนคำถามที่ว่าผลตอบแทนตราสารหนี้ หรือ บอนด์ยีลด์ ที่เริ่มสูงขึ้น จะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้ที่มากขึ้นหรือไม่นั้น นายเมธี กล่าวว่า บอนด์ยีลด์แม้จะเพิ่มขึ้น แต่เป็นการเพิ่มมาอยู่ในระดับเดียวกับค่าเฉลี่ยเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งโดยภาพรวมของบอนด์ยีลด์ ถือว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างต่ำ

ยันภาพรวมตลาดอสังหาฯไม่มีปัญหา

นายรณดล นุ่มนนท์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับ เคซี ถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้ทางเทคนิค(เทคนิคเคิล ดีฟอลท์) กล่าวคือ เป็นเรื่องเฉพาะตัวบริษัทที่มีปัญหาด้านสภาพคล่อง ไม่ได้เกิดจากภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีปัญหา ซึ่งยอมรับว่าในส่วนของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ที่ปล่อยให้กับกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ก็มีบ้างที่ผิดนัดชำระหนี้จนกลายเป็นหนี้เสีย(เอ็นพีแอล) เพียงแต่ไม่ได้มากนัก และส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายเล็กๆ

“มีเพิ่มขึ้นบ้าง(เอ็นพีแอล) แต่ไม่ได้ก้าวกระโดด ส่วนใหญ่เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายเล็กๆ หรือกลางๆ ขณะที่รายใหญ่ไม่ได้มีปัญหา เขายังมีความเข้มแข็งอยู่”

นายรณดล กล่าวว่าความเสี่ยงในระยะข้างหน้า เป็นเรื่องที่ธปท.ติดตามดูอย่างใกล้ชิด แต่โดยภาพรวมสิ่งที่ ธปท. เห็นคือผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังเข้มแข็ง แต่ในภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตช้า ก็มีบ้างที่ผู้ประกอบการรายเล็กๆ มีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ แต่โดยภาพรวมไม่ถึงกับน่ากังวลอะไร

“ก็ต้องยอมรับว่า รายเล็กๆ อาจจะมีปัญหาบ้าง เรื่องการบริหารจัดการ หมุนเงินไม่ทัน เพราะเปิดโครงการมาแล้วขายไม่ออก หรือขายออกแต่คนที่มาซื้อไม่ส่งค่างวดตามที่กำหนดไว้ จึงส่งผลต่อสภาพคล่องของตัวบริษัท เพราะก่อนที่จะกู้แบงก์ได้ ก็ต้องมียอดจองจากลูกค้าส่วนหนึ่งก่อน แบงก์ถึงจะยอมปล่อยสินเชื่อให้”

โซลาริสมั่นใจมีเงินคืนตั๋วบี/อี

นายสุพรรณ เศษธะพาณิช กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน โซลาริส จำกัด กล่าวในฐานะเป็นผู้ทรงตั๋วว่ายังมั่นใจกรณีนี้จะจบได้ภายใน 1 เดือน และมั่นใจว่าจะนำเงินมาคืนให้กับผู้ลงทุนได้

“เรื่องนี้ผมมีแนวทางที่จะจัดการอยู่แล้ว และมั่นใจว่า บริษัทจะสามารถจะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ภายใน 1 เดือน ซึ่งอยากให้นักลงทุนสบายใจว่า ตั๋วเงินที่บริษัทลงทุนอยู่มูลค่า 130 ล้านบาท มีที่ดินค้ำประกันครอบคลุมอยู่แล้ว ซึ่งมีผู้ที่สนใจที่จะเข้าซื้อที่ดินดังกล่าว ทั้งนี้บริษัทจะดำเนินการอย่างเต็มที่ เพื่อปกป้องผลประโยชน์กับนักลงทุน ”

นายสุพรรณ กล่าวว่าภายหลังที่เคซี มีการผิดนัดชำระหนี้ ก็พบว่า มีความผิดปกติในการรายงานผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 ของบริษัท ทั้งนี้ได้หารือกับคณะกรรมการบริษัท เคซี และผู้ตรวจสอบบัญชี เพื่อเข้าตรวจสอบความถูกต้องของผลการดำเนินงานที่แท้จริง เพื่อหาความผิดปกติที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ิ ก่อนหน้าที่เคซี ผิดชำระหนี้ ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ขอให้ชี้แจงงบการเงินไตรมาส 3 เนื่องจาก บริษัทซี ดับเบิ้ลยู ดับเบิ้ลยูพี จำกัด ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตไม่สามารถให้ข้อสรุปงบการเงินได้

ในไตรมาส 3 เคซีฯรายงานว่ามีกำไรสุทธิ 48.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 6.09 ล้านบาท ปี 2558

ผู้บริหาร เค.ซี.ระบุจะเร่งแก้ปัญหาด่วน

นายธีรสิทธิ์ แสงเงิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า การผิดนัดชำระหนี้ตั๋วแลกเงิน (BE) จำนวน 130 ล้านบาทนั้น บริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องดังกล่าว และเร่งหาทางออกในเรื่องดังกล่าว

ทั้งนี้ในกรณีที่บลจ.โซลาลิส ได้มีข้อสงสัยในความผิดปกติของบริษัท ทางคณะกรรมการตรวจสอบและคณะกรรมการบริษัท จะร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่เพื่อทำการตรวจสอบเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมดร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการบริษัทเค.ซี ชุดปัจจุบัน เข้ามารับตำแหน่งเมื่อช่วงเดือนเม.ย.2559จึงไม่รับทราบถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ดังนั้นทางคณะกรรมการมีความบริสุทธิ์ใจที่จะให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าทำการตรวจสอบในเรื่องดังกล่าว โดยจะแจ้งให้กับนักลงทุนรับทราบโดยเร็วที่สุด

ราคาหุ้น KC ปิดตลาดวานนี้(23 ธ.ค.) ลดลง 0.01 บาท หรือ 0.88% อยู่ที่ 1.12 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2.4 ล้านบาท

ธ.กรุงเทพจับตากำลังซื้ออสังหาฯชะลอ

ด้านนายเดชา ตุลานันท์ รองประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า เวลานี้ต้องดูให้ดี เพราะโครงการหลายแห่งขายยากด้วยภาวะเศรษฐกิจขณะนี้ผู้บริโภคไม่ค่อยอยากซื้อ แบงก์ก็ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบระมัดระวัง

นายศิริเดช เอื้องอุดมสินรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า สำหรับอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารได้เพิ่มความระมัดระวังมาอย่างต่อเนื่อง และเริ่มเห็นว่ามีบางโครงการชะลอการเปิดโครงการออกไปก่อน แต่ยังไม่ถึงกับผิดนัดชำระหนี้

“สถานการณ์แบบนี้ เราชะลอมาสองปีแล้ว เพราะเห็นสัญญาณแล้วว่ากำลังซื้อไม่ค่อยดีนัก จากภาระหนี้ที่สูงขึ้น ทำให้ระมัดระวังกลุ่มนี้และจะเลือกมากขึ้นทั้งโครงการและทำเลที่ตั้ง”

“วิรไท”ชี้เศรษฐกิจมีโอกาสโตกว่า3.2%

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธปท. กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) คาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจไทยปีหน้าไว้ที่ 3.2% แต่โอกาสที่เศรษฐกิจจะเติบโตมากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ยังมี หากนโยบายเศรษฐกิจใหม่ของสหรัฐ ผลักดันให้เศรษฐกิจสหรัฐเติบโตได้มากกว่าที่คาด ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยด้วย

นอกจากนี้ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเวลานี้ได้รับผลกระทบจากปัจจัยชั่วคราว หากสามารถฟื้นกลับมาได้เร็ว ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่หนุนการเติบโตเศรษฐกิจไทยปีหน้า ขณะเดียวกันราคาสินค้าเกษตรซึ่งปีที่ผ่านมา โดยผลกระทบมาก ทำให้ราคาสินค้าตกต่ำ ทั้งยังเผชิญกับปัญหาภัยแล้ง

“หากในปีหน้าราคาสินค้าเหล่านี้ดีกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่เสริมให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้มากกว่า 3.2%”

นายวิรไท กล่าวว่าเศรษฐกิจขยายตัวที่ 3.2% ยังเป็นระดับต่ำกว่าศักยภาพ ซึ่งยังมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตตามศักยภาพ หากมีการลงทุนในภาคเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่ภาครัฐให้การสนับสนุน รวมทั้งการปฏิรูปภาคเกษตร เพื่อยกระดับผลิตภาพการผลิต ก็จะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ตามศักยภาพ