'มาร์จิ้นกาวดีทุกตัว' SELIC คุย

'มาร์จิ้นกาวดีทุกตัว' SELIC คุย

'ซีลิค คอร์พ' ประกาศชัด 'ไม่ได้เป็นแค่คนขายกาว แต่ขายนวัตกรรม' พร้อมตะลุยตลาดเออีซีจริงจัง หวังสร้างฝันเป็นจริง

ผลกำไรในช่วง 9 เดือนของปี 2559 ที่ปรับตัวลดลงเล็กน้อยเหลือ 27.96 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 28.56 ล้านบาท อาจเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ราคาหุ้น ซีลิค คอร์พ หรือ SELIC ไม่เคลื่อนไหวไปไกลเกินกว่า 'จุดสูงสุด' ที่เคยทำได้ระดับ 4.50 บาท (18 ต.ค.2559)

ราคาหุ้นตลอดเดือนธ.ค.ที่ย่ำอยู่ระดับไม่เกิน 3.30 บาท ส่งผลให้ 'ตัวเลขมาร์เก็ตแคป' ปรับตัวลดลงจาก 1,052 ล้านบาท เหลือเพียง 873 ล้านบาท แม้ที่ผ่านมาบริษัทจะพยายามแจกแจงว่า ตัวเลขที่ลดลงเป็นผลมาจากตัดสินค้าที่มีกำไรขั้นต้นต่ำออกไป ส่งผลให้ยอดขายลดลงก็ตาม แต่ผลกระทบจากราคาวัตถุดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงอาจเป็นตัวฉุดราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาก็เป็นได้

ทว่าหากพิจารณาแผนธุรกิจในช่วง 2-5 ปีข้างหน้า ผ่านปากผู้นำอย่าง 'เอก สุวัฒนพิมพ์' ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีลิค คอร์พ ในฐานะบุตรชายคนโตประจำตระกูล จากจำนวนพี่น้อง 4 คน จะพบว่า ความพยายามบุกตลาดต่างประเทศอาจนำพาความยั่งยืนมาสู่องค์กรแห่งนี้ก็เป็นได้

แม้จุดเริ่มต้นของการเข้าสานต่อกิจการของผู้เป็นพ่อจะมาจากการเข้ามาทำงานเล่นๆ ในตำแหน่งที่ปรึกษา ISO 9000 แต่ด้วยความที่ 'เอก สุวัฒนพิมพ์' คลุกคลีกิจการผลิตกาวอุตสาหกรรมและเคมีภัณฑ์มาตั้งแต่วัยเยาว์ หลังบิดาที่มีประสบการณ์ในการผลิตกาวมายาวนานกว่า 30 ปี มักหนีบทายาทคนโตไปโรงงานเป็นประจำ ทำให้ได้รับการโปรโมตขึ้นสู่ตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

งานแรกที่เขาเข้าไปมีบทบาทมากที่สุด คงต้องยกให้การคิดค้นแผนขยายตลาดต่างประเทศ จากเดิมที่ดำเนินการอยู่แล้วเพียง 2-3 ประเทศ รวมถึงมีส่วนรวมในการผลักดันบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2559

'ในภายใน 2-5 ปีข้างหน้า อยากเห็นองค์กรแห่งนี้ขึ้นเป็นบริษัทกาวชั้นนำของอาเซียนและเอเชียแปซิฟิก ก่อนจะขยับสู่ระดับโลก 'เอก สุวัฒนพิมพ์' ยืนยันเป้าหมายกับ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' 

เมื่อถามถึงสเต็ปการขยับสู่เป้าหมายใหญ่ ผู้นำองค์กร ขยายความว่า คงดำเนินแผนงานเหมือนที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ด้วยการนำ 'จุดเด่น' เรื่องเทคโนโลยีมาสร้างนวัตกรรม เพื่อต่อยอดความรู้ใหม่ๆ ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศกว่า 27 ประเทศทั่วโลกเป็นอย่างดี ตอกย้ำว่า เดินมาถูกทางแล้ว

ตามแผนธุรกิจในระยะสั้น บริษัทจะหันมาให้ความสำคัญใน 'ลูกค้ากลุ่ม AEC' และ 'ออสเตรเลีย' มากขึ้น จากเดิมที่เน้นผลิตจำหน่ายผลิตภัณฑ์กาว Solvent (Solvent Based Adhesive) ในทวีปแอฟริกาสัดส่วนสูงถึง 14.33% (ตัวเลขการจำหน่ายในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา) ถือเป็นตัวเลขที่ปรับตัวขึ้นจากปี 2558 ที่อยู่ระดับ 6.04% หลังไม่ค่อยมีผู้ประกอบการเข้าไปจำหน่ายผลิตภัณฑ์กาวในกลุ่มรองเท้าเครื่องหนัง และเฟอร์นิเจอร์ แม้จะยังมีอัตราการเติบโตอยู่ก็ตาม

โดยบริษัทจะเน้นส่งออกนวัตกรรมผลิตภัณฑ์กาว Hot Melt (Hot Melt Adhesive) หรือ 'กาวร้อน' ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และงานไม้ทั่วไป เป็นต้น รวมถึงผลิตภัณฑ์กาวน้ำ (Water Based Adhesive) ที่ใช้ในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ บรรจุภัณฑ์ พรม งานไม้ ฉลากสินค้า และ ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เป็นต้น

เขา ยืนยันว่า วันนี้คงยังไม่สามารถกำหนดสัดส่วนการจำหน่ายใน AEC ได้อย่างชัดเจนบอกได้เพียงว่า จะพยายามผลักดัน “ยอดขายต่างประเทศ” ขึ้นสู่ระดับ 30-40% ด้วยการเจาะฐานลูกค้ารายใหม่ที่ใช้ผลิตภัณฑ์กาว Hot Melt และผลิตภัณฑ์กาว Solvent

ยกตัวอย่าง วันนี้ประเทศเวียดนาม มีการใช้ผลิตภัณฑ์กาว Hot Melt ค่อนข้างสูงเป็นรองจากเมืองไทยไม่เท่าไหร่ ที่สำคัญตลาดขยายตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่อยู่ในขั้นของการเจริญเติบโต หรือแม้แต่ประเทศกัมพูชา ถึงแม้ตลาดไม่ใหญ่เท่าเวียดนาม แต่อัตราการใช้กาวร้อนค่อนข้างเยอะ

ฉะนั้นเมื่อสองประเทศนี้มีตลาดรองรับ บริษัทก็จะเริ่มบุกอย่างจริงจัง เบื้องต้นจะเห็น SELIC เข้าไปในเวียดนามก่อน ที่ผ่านมามีลูกค้าอยู่ในมือแล้วหลากหลายเจ้า ส่วนเป้าหมายในอนาคตอยากเห็นสัดส่วนรายได้เท่าไหร่ คงไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ สำหรับเป้าหมายการทำตลาดในกัมพูชา คงเน้นขายในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มและอาหารเป็นหลัก

'เราจะพยายามมององค์ประกอบตลาดของแต่ละประเทศก่อน วันนี้รู้อยู่แล้วว่า เมืองจีน เวียดนาม ญี่ปุ่น เกาหลี และอินเดีย ใช้กาวร้อนค่อนข้างเยอะ แต่เราคงไม่สามารถไปเจาะได้ทุกประเทศ ฉะนั้นต้องหาแหล่งที่มีความเป็นไปได้ก่อน' 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยืนยันว่า การเจาะตลาด AEC จะทำให้ฐานะการเงินของบริษัทในอนาคตเติบโตอย่างน่าพอใจ เขาหลีกเลี่ยงที่จะระบุตัวเลขการเติบโตต่อปี บอกแต่เพียงว่า หลังบริษัทเดินหน้าปรับโครงสร้างผลิตภัณฑ์ภายใน ด้วยการยกเลิกการซื้อมาขายไปในผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่กาว

ฉะนั้นจะทำให้รายได้รวมกลับมาขยายตัวอีกครั้ง เพราะความต้องการผลิตภัณฑ์กาวไม่ได้หดหายแต่อย่างใด แม้ภาวะเศรษฐกิจจะตกอยู่ในอาการถดถอยก็ตาม สะท้อนผ่านยอดขายผลิตภัณฑ์กาวน้ำที่ขยายตัวกว่า 50% ในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา นั่นเป็นเพราะมาจากฐานที่เล็กทำให้มีการเติบโตที่ดี

'ผลิตภัณฑ์กาว Hot Melt มีโอกาสขยับตัว จาก 24.26% ในปี 2558 เป็นประมาณ 50% ในอนาคต กาวทุกตัวของเรามีมาร์จิ้นที่ดี' เขายืนยัน

เมื่อถามถึงทิศทางการบริโภคผลิตภัณฑ์กาวภายในประเทศ 'เอก' เล่าว่า แม้สภาพตลาดจะอยู่ในลักษณะทรงตัว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ขายยากขึ้น เพราะพื้นฐานประเทศไทยยังอยู่ในลักษณะที่ดี ที่สำคัญในอนาคตไทยยังคงมีการเจริญเติบโตที่ดีในแง่ของภาวะเศรษฐกิจ สะท้อนผ่านนโยบายของรัฐบาล
โดยเฉพาะโมเดล 'ไทยแลนด์ 4.0' แน่นอนว่า ยุทธศาสตร์นี้จะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์กาวร้อน ผลิตภัณฑ์กาวน้ำ หรือผลิตภัณฑ์กาว Polyurethane Reactive Hot Melt (HMPUR) ที่มีลักษณะเฉพาะตัว คือ มีความแข็งแรงสูงจะมีความต้องการมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะการก้าวขึ้นสู่ 4.0 อย่างน้อยการระบบการผลิตต้องเปลี่ยน

ในช่วงที่เศรษฐกิจประเทศไทยชะลอตัว เราไม่ได้อยู่เฉยยังคงหาโอกาสเข้าไปทำตลาดในอุตสาหกรรมที่ยังไม่เข้าไปเต็มตัว เช่น เฟอร์นิเจอร์ หรือออโต้โมทีฟ เป็นต้น ปัจจุบันลูกค้าในประเทศ ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม รองเท้า บรรจุภัณฑ์ และเคมีทั่วไป เป็นต้น ซึ่งลูกค้าของเราเป็นลีดเดอร์ในตลาดทำให้สามารถปรับตัวได้ดี แม้กำลังซื้อลดลง

ผู้บริหารหนุ่ม ทิ้งท้าย ด้วยการพูดถึง 'จุดเด่น' ที่ทำให้องค์กรแห่งนี้ชนะใจลูกค้าว่า แม้จะมีคู่แข่งเป็นต่างชาติ 2 ราย สัญชาติเยอรมันและอเมริกา แต่ด้วยความที่เป็นคนไทยย่อมให้บริการที่ดีกว่า เข้าใจความต้องการของลูกค้าได้มากกว่า

ไม่ว่าลูกค้าจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ เราจะให้บริการในมาตรฐานเดียวกัน ที่สำคัญพร้อมช่วยแก้ไขปัญหา เพื่อที่ในระยะยาวจะช่วยลดต้นทุนให้ลูกค้า ที่ผ่านมาเคยช่วยลดต้นทุนให้ลูกค้าได้ถึง 40% วันนี้เราไม่ได้เป็นเพียงแค่คนขายกาว แต่เป็นคนขายนวัตกรรม

'จะแตกไลน์ไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่นหรือไม่คงต้องเป็นเรื่องของอนาคต แต่ขายกาวอย่างเดียวก็ทำให้บริษัทเติบโตได้อีกเยอะ เพราะตลาดกาวในโลกมีมูลค่าหลายแสนล้านบาท ฉะนั้นช่องว่างในการหาเงินจากผลิตภัณฑ์นี้ยังมีอีกมหาศาล'

จากนี้หวังจะมีรายได้ขยายตัวใน 'ตัวเลขสองหลัก' เพราะเราพร้อมให้ในสิ่งที่คนอื่นให้ลูกค้าไม่ได้ ที่สำคัญมีนวัตกรรมใหม่ๆ นำเสนอลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ผู้บริหารดีกรีปริญญาโทบริหาร มหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ ประเทศอังกฤษ ยืนยันเช่นนั้น