Daily Market Outlook (22 ธ.ค.59)

Daily Market Outlook (22 ธ.ค.59)

พักหายใจ

คาดหุ้นไทยปรับตัวในกรอบแคบ จากการขายทำกำไรในตลาดหุ้นสหรัฐ หลังจากวิ่งติดต่อกันมานับตั้งแต่ Trump ชนะเลือกตั้ง นอกจากนี้นักลงทุนบางส่วนเริ่มหยุด เนื่องจากใกล้เทศกาลคริสตร์มาส และปีใหม่ จุดสนใจหลักวันนี้อยู่ที่การประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ของสหรัฐครั้งที่ 3 และเรื่องไข้หวัดนกระบาดในเอเซียซึ่งอาจเกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมอย่างมากได้ ปัจจัยภายในประเทศวันนี้มีทั้งดีและไม่ดี สมาชิกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมีความเชื่อมั่นสูงสุดในรอบ 20 เดือน ในเดือน พ.ย. รวมทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วย แต่ตัวเลขส่งออกและยอดขายในประเทศยานยนต์เดือน พ.ย. ยังหดตัวอยู่ ธปท.คงดอกเบี้ยนโยบายและคาดประมาณอัตราขยายตัวเศรษฐกิจไทยที่ 3.2% สำหรับปีนี้และปีหน้า

หุ้นเด่นวันนี้: SVI (ราคาปิด 5.10 บาท, NR, ราคาเป้าหมาย Bloomberg 5.36 บาท)

เราเลือก SVI เป็นหุ้นเด่นวันนี้เพราะน่าจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่องและการหนุนจากประเด็น Turnaround ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 60 และ 61 บริษัทอยู่ใน 50 อันดับแรกของโลก 10 อันดับแรกของยุโรปและเป็นอันดับต้นในสแกนดิเนเวียในอุตสาหกรรมประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่บริษัททำอยู่นี้ SVI อยู่ในระดับชั้นนำของหว่งโซ่อุปทานสำหรับผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นชิ้นส่วนสำหรับตลาดการแพทย์ การขนส่ง ยานยนต์และตลาดเฉพาะ (เช่น ระบบวงจรปิดสำหรับองค์กร หรือเครื่องพิมพ์สำหรับรถฉุกเฉินเป็นต้น) บริษัทได้เข้าซื้อกิจการ Siedelซึ่งเป็นผู้นำด้านอิเล็กทรอนิกส์ในยุโรป นับว่าเป็นการเปิดประตูสู่ยุโรป เพราะลูกค้ายุโรปจะคุ้นเคยกับบริษัทยุโรปมากกว่าบริษัทเอเชีย โดยมีสำนักงานอยู่ในประเทศพัฒนาแล้ว (ออสเตรีย อิตาลี) และมีโรงงานอยู่ในประเทศที่มีค่าแรงต่ำ (สโลวาเกีย ฮังการี) เราเชื่อว่ายังคงมีอุปสงค์ต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงหนุนโดยเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีรุดหน้าไปทุกวันอันเป็นประเด็นหนุนพื้นฐานของ SVI บริษัทได้ตั้งโรงงานใหม่ในปี 58 และวางแผนจะเปิดโรงงานที่กัมพูชาด้วย ซึ่งน่าจำดำเนินการได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 60 ซึ่งจะช่วยลดค่าแรงและทำให้ประโยชน์เรื่องสิทธิทางภาษี และยังน่าจะได้ประโยชน์จากอัตราภาษีพิเศษจาก GSP จากการส่งออกจากกัมพูชาไปยุโรปซึ่งกัมพูชายังได้สิทธิประโยชน์นี้อยู่จากการเป็นประเทศกำลังพัฒนา ค่าเฉลี่ยประมาณเฉลี่ยโดยรวมของ Bloomberg กำไรต่อหุ้นของ SVI น่าจะกลับมาฟื้นตัวแรง 49% ในปี 60 และ 11% ในปี 61Price Pattern ของ SVI มีความแข็งแกร่งทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง จากการเกิดทั้ง Daily & Weekly Buy Signal และหาก Price Pattern ของ SVI สามารถปิดตลาดรายเดือนได้เหนือ 5.15 บาท ก็จะทำให้ Price Pattern ของ SVI เปลี่ยนจากแนวโน้มหลักที่เป็นแนวโน้มขาลงไปสู่แนวโน้มขาขึ้น ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ก็น่าจะไปทดสอบเป้าหมายสำคัญที่ 5.20 บาท และ 5.55 บาท ทั้งนี้ SVI มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 5 บาท (แนวต้าน: 5.15, 5.20, 5.25; แนวรับ: 5.05, 5.00, 4.96)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• กนง. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% เมื่อวานนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี ในการประชุมครั้งที่ 13 เพื่อรักษาเสถียรภาพไว้เนื่องจากมีแนวโน้มต้นทุนการกู้ยืมของสหรัฐที่สูงขึ้นซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินในเอเชียและอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ กนง. ยังคงคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 59 และ 60 ที่ 3.2% (Bangkok Post) ความเห็น: มติดังกล่าวเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์

• ตัวเลขส่งออกรถยนต์ พ.ย. ยังไม่ดี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) รายงานตัวเลขส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปร่วงลง 3.1% จากปีที่แล้วในเดือน พ.ย. สู่ 98,477 คัน โดยมูลค่าส่งออกลดลง 6.4% จากปีก่อนสู่ 5.11 หมื่น ลบ. เพราะเศรษฐกิจชะลอตัวในตะวันออกกลาง ละตินอเมริกาและแอฟริกา ยอดผลิตรถยนต์เพิ่ม 4.7% จากปีก่อนสู่ 170,784 คัน ยอดขายในประเทศลดลง 15.3% จากปีก่อนสู่ 64,771 คันเพราะการเร่งซื้อรถเมื่อปลายปีที่แล้วก่อนที่ภาษีสรรพสามิตใหม่จะบังคับใช้ สำหรับ 11 เดือนแรก ยอดผลิตเพิ่ม 2.7% สู่ 1,808,625 คัน ขณะที่การส่งออกลดลง 1.4% สู่ 1,102,395 คัน มูลค่าส่งออกเพิ่ม 7.2% สู่ 5.855 แสน ลบ. ยอดขายในประเทศลดลง 2.3% สู่ 681,930 คัน (ส.อ.ท.)

ความเห็น: ตัวเลขที่ไม่ดีถูกบิดเบือนจากฐานที่สูงปีที่แล้วเพราะผู้ซื้อเร่งซื้อเพราะกลัวจ่ายภาษีสรรพสามิตใหม่แพงขึ้น อันที่จริง FTI ตั้งเป้าปีหน้าสูงขึ้นเป็น 2 ล้านคันด้วยซ้ำ เทียบกับ 1.95 ล้านคันปีนี้ เราคงคำแนะนำเป็นกลางสำหรับยานยนต์โดยมีแนวโน้มฟื้นตัว

• ปรับเป้ายอดขายยานยนต์ขึ้น ส.อ.ท. ปรับเป้ายอดขายในประเทศปี 60 ขึ้นเป็น 8 แสนคันจากเดิม 7.8 แสนคัน เพิ่มการเติบโตยอดขายเป็น 6.7% จากเดิม 4% ทำให้เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 ปีหลังจากยอดขายหดตัว เป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจดีขึ้นและการปลดล็อครถคันแรกเมื่อครบระยะ 5 ปี สามารถขายต่อได้ (Bangkok Post)

• ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย. สูงสุดในรอบ 20 เดือนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) รายงานดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน พ.ย. ปรับตัวสูงสุดในรอบ 20 เดือน อยู่ที่ระดับ 87.6 จาก 86.5 ในเดือน ต.ค.59 และสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน เนื่องจากผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายของภาครัฐ ในส่วนของดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 102.0 ลดลงเล็กน้อยจาก 102.9 ในเดือน ต.ค.59 เนื่องจากความกังวลต่อราคาวัตถุดิบ การปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน และราคาน้ำมันที่จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน (FTI)

ต่างประเทศ:

• ราคาพันธบัตรสหรัฐปรับตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อวันพุธ โดยมีปริมาณซื้อขายเบาบางก่อนช่วงวันหยุดคริสต์มาสและไม่มีการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญเมื่อวานนี้ ขณะที่นักลงทุนประเมินว่าเฟดมีโอกาสจะปรับดอกเบี้ยขึ้นกี่ครั้งในปีหน้า ราคาพันธบัตรอายุ 10 ปีล่าสุดเพิ่มขึ้น 7/32 อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 2.54% ลดลงจากที่ระดับ 2.57% เมื่อวันอังคาร (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐถอยจากระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี เมื่อวันพุธดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 0.27% อยู่ที่ระดับ 103.01 ดัชนีฯ ได้แตะระดับ 103.65 เมื่อวันอังคารซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับแต่เดือนธ.ค. 2002 ส่วนเงินยูโรแข็งค่า 0.4% อยู่ที่ระดับ 1.0423 ดอลลาร์สหรัฐ ดีดตัวขึ้นจากที่ระดับ 1.0352 เมื่อวันอังคาร ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับแต่เดือนม.ค. 2003 (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับตัวลงเมื่อวันพุธ เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากดัชนีดาวโจนส์และ Nasdaqปิดระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยนักลงทุนบางส่วนหยุดซื้อขายแล้วเนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดสิ้นปี หุ้นในกลุ่มธุรกิจสุขภาพและอสังหาริมทรัพย์ฉุดตลาดลง นักลงทุนบางรายกังวลว่า Trump rally หรือการทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่องของตลาดหุ้นสหรัฐนับแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งทำให้หุ้นมีราคาแพงเกินไป อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังเกี่ยวกับการปรับลดภาษีกำไรจากการขายหุ้นทำให้นักลงทุนมีแรงจูงใจที่จะไม่ขายหุ้นจนกว่าจะถึงเดือนม.ค. ในวันนี้รัฐบาลสหรัฐจะประกาศจีดีพีในไตรมาส 3/59 ซึ่งเป็นตัวเลขประมาณการครั้งที่ 3 ดังนั้น ตลาดหุ้นสหรัฐอาจมีความผันผวนหากตัวเลขจีดีพีออกมาแข็งแกร่งหรืออ่อนแอกว่าที่คาดมาก (Reuters)

ยุโรป:

• ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันพุธปรับตัวลดลงกดดันจากหุ้นธนาคาร Monte deiPaschi เนื่องจากตลาดกังวลถึงแผนความช่วยเหลือที่อาจไม่เป็นไปตามคาด อย่างไรก็ตามดัชนีตลาดหุ้นยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือน ด้วยแรงหนุนบางส่วนจากประเด็นการทำ M&A ต่างๆ ในตลาด (Reuters)

• แผนระดมทุนของธนาคาร Monte deiPaschiโดยธนาคารเตรียมเพิ่มทุนราว 5.0 พันล้านยูโรภายในสิ้นปีนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะให้รัฐบาลยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ อย่างไรก็ตามพบว่ายังไม่สามารถหากลุ่มทุนและนักลงทุนที่สามารถระดมทุนได้อย่างทันท่วงทีภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง ก่อนที่การเสนอขายจะสิ้นสุดลง (Reuters) 


เอเชีย:

• โรคไข้หวัดนกสายพันธุ์ที่รุนแรงแพร่ระบาดทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือญี่ปุ่นกำจัดไก่ล็อตใหม่บนเกาะทางตอนใต้อีก หลังจากรมแก๊สเพื่อกำจัดสัตว์ปีกหลายแสนตัว ในพื้นที่2,400 กิโลเมตร (1,500 ไมล์) ไปทางทิศเหนือ เจ้าหน้าที่ที่เกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่าพวกเขาจะรมก๊าซไก่อีกกว่า 120,000 ตัวหลังจากไวรัส H5 ถูกตรวจพบในฟาร์ม เพราะเกาะอยู่ใกล้กับเกาหลีใต้ซึ่งมีคำสั่งกำจัดสัตว์ปีก20 ล้านตัว นับตั้งแต่มีการรายงานการแพร่ระบาดของไวรัส H5N6 ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา การแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของไวรัสส่งผลให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วเอเชียเข้าควบคุมการแพร่ระบาด เกษตรกรของจีนกังวลหลังจากฮ่องกงรายงานการติดเชื้อไข้หวัดนกกับมนุษย์คนแรกของฤดูกาล สำหรับสายพันธุ์ H5N7(Reuters)

• สหรัฐคืนที่ดินบางส่วนในโอกินาว่าของญี่ปุ่น: สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นจัดพิธีในวันพุธที่ผ่านมา มีการมอบคืนพื้นที่เกือบ 10,000 ตารางเมตร (4,046 เฮกเตอร์) ของที่ดินบนเกาะโอกินาวาให้รัฐบาลญี่ปุ่นซึ่งเป็นการโอนพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่ปี 2515 (Reuters)

• นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซะ อาเบะ อนุมัติเพิ่มค่าใช้จ่ายในการป้องกันประเทศสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เพื่อตอบโต้อำนาจทางทหารของจีนในทะเลจีนตะวันออกและเกาหลีเหนือซึ่งเป็นภัยคุกคามด้านขีปนาวุธ โดยเพิ่มงบขึ้น1.4% ในการใช้จ่าย 5.13 ล้านล้านหยวน (43.66 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) สำหรับรอบปีเริ่มต้นที่ 1 เมษายนหากได้รับการอนุมัติจากฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งมีแนวโน้มสูงว่าจะได้ มันจะเป็นปีที่ห้าติดต่อกันในการเพิ่มค่าใช้จ่ายนี้ (Reuters)

• ประเทศจีนจะห้ามนำเข้าเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องจากประเทศที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดนกโรคสูงในวันพุธที่ผ่านมา ประเทศจีนได้สั่งห้ามนำเข้าสัตว์ปีกแล้วจากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก (Reuters)

• ราคาบ้านของจีนเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าลงในเดือนพฤศจิกายนรัฐบาลลดความร้อนแรงของราคาบ้านในเมืองใหญ่ แต่ปัญหาการขาดแคลนอุปทานในบางที่ก็เป็นเรื่องท้าทายที่ผู้กำหนดนโยบายต้องเผชิญกับความพยายามที่จะรักษาเสถียรภาพของตลาด ราคาบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 0.6% MoMใน 70 เมืองใหญ่ของจีนชะลอลงจากเดือนตุลาคมที่เพิ่มขึ้น1.1% ตามรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (NBS).

สินค้าโภคภัณฑ์:

• น้ำมันดิบร่วงวันพุธ หลังลิเบียประกาศจะเพิ่มการผลิตน้ำมันในไม่กี่เดือนข้างหน้าและรายงานแสดงว่ายอดสต็อกน้ำมันสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มผิดคาด น้ำมันดิบ Brent ล่วงหน้าส่งมอบ ก.พ. ลด 95 เซนต์หรือ +1.7% ปิด 54.40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบสหรัฐปิดลบ 85 เซนต์ต่อบาร์เรล หรือ 1.6% อยู่ที่ 52.45 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)

• EIA รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ สูงขึ้น 2.3 ล้านบาร์เรลในรายสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 16 ธ.ค. นับเป็นครั้งแรกในรอบ 5 สัปดาห์หลังสุดที่เพิ่มขึ้น และยังสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจะลดลง 2.5 ล้านบาร์เรล ขณะที่ปริมาณน้ำมันเบนซินและดีเซลลดลง (Reuters)

• ราคาทองเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยแต่ยืนเหนือระดับต่ำสุดในรอบ 10.5 เดือนในสัปดาห์ก่อนเมื่อวันพุธเนื่องจากดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงทำให้นักลงทุนหาส่วนต่างกำไรหลังราคาทองได้ดิ่งลงจากระดับสูงสุดในเดือนพ.ย. ราคาทองคำ spot gold ลดลง 0.06% อยู่ที่ 1,131.11 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หลังจากขึ้นไปสู่ระดับ 1,137.12 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนราคาทองฟิวเจอร์สส่งมอบเดือนก.พ. ปรับตัวลง 0.04% อยู่ที่ระดับ 1,133.20 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (Reuters)

• ราคาถ่านหินในเอเชียอยู่ภายใต้แรงกดดัน เนื่องจากภาวะอากาศหนาวเย็นที่ลดน้อยลงในแถบซีกโลกเหนือจำกัดความต้องการการใช้พลังงานความร้อนและจีนปิดโรงไฟฟ้า โรงงานและท่าเรือเพื่อสู้กับปัญหาหมอกควัน ราคาถ่านหิน spot ของจีนอยู่ที่ราว 77 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ลดลงจากที่ระดับ 114 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงต้นเดือนพ.ย. เทียบกับราคาถ่านหินออสเตรเลียที่ระดับ 91 ดอลลาร์สหรัฐไม่รวมค่าขนส่ง (Reuters)