'บีทีเอส'ทุ่ม2หมื่นล้านตุนแลนด์แบงก์

'บีทีเอส'ทุ่ม2หมื่นล้านตุนแลนด์แบงก์

“บีทีเอส” เร่งสยายปีกต่อยอดอสังหาฯขาย-เช่า หลังชนะประมูลรถไฟฟ้า 2 สาย สีเหลือง-ชมพู อัดงบเพิ่ม 2 หมื่นล้านซื้อที่ดิน

หลังจาก “บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์” ชนะประมูลรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง และสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี รวม 2 โครงการ ประมาณรวมกว่า 1 แสนล้านบาท กลายเป็นโอกาสต่อยอดการพัฒนาอสังหาฯ บริเวณเส้นทางแนวรถไฟฟ้าให้บีทีเอส ที่ประกาศพร้อมรุกขยายการลงทุนอสังหาฯทั้งเพื่อขาย และเช่า โดยผนึกพันธมิตร บมจ.แสนสิริ กินรวบอาณาจักรจากรถไฟฟ้า สู่อสังหาริมทรัพย์เกาะแนวรถไฟฟ้า

นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (บีทีเอส) เปิดเผยว่า บริษัทจะรุกขยายการลงทุนอสังหาฯทั้งเพื่อขาย และเช่า ซึ่งจะเป็นต่อยอดการพัฒนาอสังหาฯตามแนวรถไฟฟ้าที่บีทีเอส ล่าสุดบริษัทชนะการประมูลรถไฟฟ้าอีก 2 สายคือ สายสีเหลือง และสายสีชมพู ระยะทาง 65 กิโลเมตร (กม.) ซึ่งสร้างโอกาสการพัฒนาอสังหาฯเพิ่มมากขึ้น

“ในอนาคตเราอยากให้รายได้จากธุรกิจอสังหาฯเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ได้กำหนดแน่ชัดว่าเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ โดยในปัจจุบันรายได้อสังหาฯมีสัดส่วนน้อยมากราว 10% โดยรายได้หลักยังมาจากการให้บริการเดินรถไฟฟ้า”

เพิ่มงบซื้อที่ดินใหม่2หมื่นล้าน

ทั้งนี้ ได้พิจารณาเพิ่มงบซื้อที่ดินใหม่ ของบริษัทร่วมทุนระหว่างบีทีเอส และบริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) ในช่วง 5 ปี (ปี 2558-2562) อีก 2 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่ดินที่มีอยู่แล้วมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท รวมเป็น 3 หมื่นล้านบาท เพื่อเพิ่มจำนวนที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการอสังหาฯของบริษัทร่วมทุนกับบมจ.แสนสิริ หลังจากลงทุนขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต คาดว่าจำนวนการเปิดโครงการของบริษัทร่วมทุนแสนสิริ จะทำได้มากกว่าที่ตั้งไว้ 25 โครงการ และมูลค่าโครงการรวมคาดว่าจะมากกว่า 1 แสนล้านบาท หลังปัจจุบันบริษัทร่วมทุนได้เปิดโครงการไปแล้วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งหมด 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3 หมื่นล้านบาท

เล็งร่วมแสนสิริพัฒนาแนวราบ

“เราต้องการเก็บสะสมแลนด์แบงก์ให้มากขึ้น เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต หลังจากบีทีเอสได้รถไฟฟ้าสายใหม่อีก 2 สายเพิ่มมา ทำให้เรามีระยะทางการเดินรถเพิ่มขึ้นอีก 65 กิโลเมตร จึงได้ตัดสินใจเพิ่มงบซื้อที่ดิน และมองถึงโอกาสของราคาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้น หลังรถไฟฟ้าเริ่มพัฒนาแล้ว นอกจากนี้ในอนาคตก็จะยังมีโอกาสทำโครงการแนวราบ หรือดึงแสนสิริเข้าไปร่วมทุนในที่ดินที่บริษัทเป็นเจ้าของ”นายคีรี กล่าว

สำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาฯเพื่อเช่า จะเป็นการลงทุนผ่านบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือบริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือเอ็นพาร์คเดิมโดยจะพัฒนาโครงการที่พญาไท บนเนื่อที่ 7 ไร่ เป็นโครงการผสมผสาน (มิกซ์ยูส) ประกอบด้วย อาคารสำนักงานให้เช่า โรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ และโครงการอาคารสำนักงานในย่านหมอชิต ด้านหลังโครงการ เดอะไลน์ จตุจักร-หมอชิต พื้นที่ 1.4 แสนตร.ม. มูลค่าประมาณ 8,000 - 9,000 ล้านบาท ส่วนโครงการแอ็บสแตร็กส์ พหลโยธิน ซึ่งเหลือการพัฒนาอีก 2 โครงการอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะพัฒนาเอง หรือให้บริษัทร่วมทุนพัฒนา

ผนึก“จีแลนด์”พัฒนามิกซ์ยูส

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส กับ บมจ.แกรนด์ คาแนล แลนด์ หรือ G LAND บนพื้นที่กว่า 48 ไร่ย่านพหลโยธิน ซึ่งมีแผนจะพัฒนาเป็นค้าปลีก คอนโดมิเนียม โรงแรมและเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ คาดจะชัดเจนในต้นเดือน ก.พ.2560 โดยในส่วนของศูนย์ค้าปลีกได้เจรจากับผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ในประเทศ 1 ราย เพื่อให้มาเช่าพื้นที่ของโครงการ ส่วนที่อยู่อาศัยอาจจะแบ่งขายที่ดินให้บริษัทร่วมทุนบีทีเอส-แสนสิริเพื่อนำไปพัฒนา โดยปัจจุบันมูลค่าที่ดินในพื้นที่ดังกล่าวอยู่ที่ 1 ล้านบาทต่อตร.ว.

พร้อมกันนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบของการพัฒนาที่ดินเปล่าในโครงการธนาซิตี้ ย่านบางนา จำนวน 400 ไร่ ซึ่งปัจจุบันรอความชัดเจนการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าโมโนเรลที่เข้าถึงโครงการดังกล่าว

ร่วมกันเปิดอีก5โครงการปีหน้า

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2560 บริษัทเปิดโครงการคอนโด ภายใต้บริษัทร่วมทุนระหว่างบีทีเอส-แสนสิริ อีก 5 โครงการ ซึ่งมีที่ดินรองรับการพัฒนาทั้งหมดแล้ว และเป็นโครงการที่อยู่ใกล้กับรถไฟฟ้า โดยปัจจุบันมีโครงการที่ได้เปิดไปแล้วทั้งหมด 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้บริษัทคาดว่าภายในอีก 18 เดือน จะเห็นความชัดเจนของแผนการพัฒนาโครงการแนวราบของบริษัทร่วมทุนระหว่างบีทีเอส-แสนสิริ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาและมองหาซื้อที่ดิน โดยบริษัทมองว่าการพัฒนาโครงการแนวราบอาจจะต้องพัฒนาในทำเลรอบนอกกรุงเทพฯ ซึ่งจะต้องเป็นทำเลที่มีรถไฟฟ้าเข้าถึง และกลุ่มลูกค้าที่สนใจซื้อโครงการแนวราบส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ต้องการพักอาศัยออกมาในทำเลรอบๆ กรุงเทพฯ

“แสนสิริ”ตั้งเป้ารายได้ปี60โต5%

นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บมจ.แสนสิริ เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2560 เติบโต 5% จากปีนี้ที่คาดว่ารายได้จะอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท

โดยในปี 2560 จะทยอยรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ในส่วนของแสนสิริ ไม่รวมBacklogจากบริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส ทั้งหมด 8,000 ล้านบาท จากBacklogทั้งหมดในปัจจุบันที่ 1.7 หมื่นล้านบาท โดยBacklog ในส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ไปถึงปี 2562 ขณะที่Backlogของบริษัทร่วมทุนกับบีทีเอสในปัจจุบันอยู่ที่ 2.07 หมื่นล้านบาท

ด้านยอดขายในปี 2560 บริษัทตั้งเป้าเติบโต 30-40% จากปีนี้ที่คาดว่าทำยอดขายได้อยู่ที่ 3.3 หมื่นล้านบาท โดยแผนการเปิดโครงการใหม่ในปี 2560 บริษัทจะประกาศอีกครั้งในงานแถลงแผนวันที่ 10 ม.ค. ซึ่งเบื้องต้นมี 1 โครงการที่บริษัทได้เลื่อนเปิดโครงการจากปีนี้ไปเป็นปี 2560 คือ โครงการคอนโดมิเนียม98 Wireless มูลค่าโครงการกว่า 8,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ตั้งเป้ายอดขายของลูกค้าชาวต่างชาติในปี 2560 อยู่ที่ 8,000 ล้านบาท จากปัจจุบันมียอดขายจากลูกค้าชาวต่างชาติอยู่ที่ 5,300 ล้านบาท โดยบริษัทได้เห็นถึงโอกาสความต้องการซื้อของลูกค้าชาวต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าชาวฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และสนใจการลงทุนในโครงการที่ติดกับรถไฟฟ้า

ทั้งนี้ เนื่องจากสะดวกในการเดินทางเข้าที่พักอาศัย และราคาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยถือว่ามีราคาถูกเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยบริษัทคาดว่าจะเห็นการร่วมมือด้านการตลาดเพื่อการขยายฐานลูกค้าไปยังต่างประเทศเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์มากขึ้นในช่วงไตรมาส1 ปี 2560