Daily Market Outlook (9 ธ.ค.59)

Daily Market Outlook (9 ธ.ค.59)

มุมมองเศรษฐกิจโลกดีขึ้น

คาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวดีขึ้นต่อจากมุมมองในระดับโลกว่าเศรษฐกิจโลกดีขึ้น หลังจากหุ้นสหรัฐยังเดินหน้าต่อและตัวเลขส่งออกนำเข้าจีนที่ดีผิดคาด บ่งชี้ว่าอุปสงค์ของโลกกำลังดีขึ้นและเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วน่าจะจบปีนี้ด้วยทิศทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การปรับตัวดีขึ้นของตลาดบ้านเราและในภูมิภาคน่าจะถูกจำกัดจากข้อเท็จจริงที่ว่า ประเทศในเอเซียที่เป็นผู้ส่งออกทั้งหลายต้องเตรียมเผชิญกับสงครามทางการค้าเมื่อประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่โดนัลด์ ทรัมป์ขึ้นดำรงตำแหน่ง ECB ลดขนาดการซื้อพันธบัตรต่อเดือนภายใต้มาตรการ QE ลง แต่ขยายระยะเวลาการซื้อออกไป บ่งชี้การเริ่มกระบวนการลดการกระตุ้นทางการเงิน ซึ่งทำให้ Yield curve ชันขึ้นในลักษณะเดียวกับในสหรัฐ แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจมีทิศทางจะดีขึ้นเช่นกัน ปัจจัยภายในประเทศวันนี้ไม่ค่อยมีผลต่อตลาดเท่าใดนัก


หุ้นเด่นวันนี้: CK (ราคาปิด 31.75 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมายปี 60 ที่ 39.50 บาท)

CKมีโอกาสสูงที่จะชนะการประมูลภาครัฐงานหลายในช่วงเดือนนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ชนะการประมูลได้งานก่อสร้างและเดินรถของรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเหลืองแต่ก็มีความหวังสูงที่จะได้งานการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี)6 สัญญา ซึ่งจะมีการเปิดซองสำหรับผู้เสนอราคาต่ำสุดในการประมูลโครงการสายสีส้มในวันนี้ ซึ่งข่าวดีอีกเรื่องคือรฟม.เปิดเผยว่าพร้อมจะได้ข้อสรุปงานเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย วันที่16 ธ.ค.นี้ หลังจากที่ล่าช้ามานานเกือบ 2 ปีโดยในส่วนหลังนี้ จะมีงานที่ CK จะได้รับในส่วนของวางระบบเดินรถ (M&E) ราว 25,000 ล้านบาท จาก BEM ซึ่งเป็นผู้รับสัญญาสัมปทาน ทำให้ Backlog ของ CK จะเพิ่มขึ้นจาก 72,000 ล้านบาท ไปทะลุระดับ 100,000 ล้านบาท เพียงพอต่อการสร้างรายได้ใน 2.5 ปีข้างหน้า นอกจากนี้มีแนวโน้มที่ CK อาจได้รับงานสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าในลาว ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเขื่อนไซยะบุรี (1,285 เมกะวัตต์) ซึ่งจากงานในมือในขณะนี้ ทำให้ CK มีการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงานในปี 2559 และ 2560 เติบโตในระดับ 1,044% และ 4% ตามลำดับ เราแนะนำซื้อ โดยมีราคาเป้าหมาย 39.50 บาท เป็นการคำนวณจากวิธี sum-of-the-parts ซึ่งมูลค่าจำนวน 34.60 บาท มาจากการลงทุนในบริษัทในเครือได้แก่ BEM, CKP และ TTW เป็นส่วนที่ทำให้ CK มีความพิเศษเหนือหุ้นรับเหมาก่อสร้างตัวอื่น เราจึงยังคงเลือก CK เป็น Top Pick ในกลุ่มผู้รับผลประโยชน์จากโครงการภาครัฐต่อไป โดยยังมี Upside จากราคาเป้าหมายอยู่ 24.4%

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• ความเชื่อมั่นหล่นลงเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน ม.หอการค้าไทยวานนี้รายงานตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคร่วงลงสู่ 72.3 จุดใน พ.ย. จาก 73.1 จุดใน ต.ค. ลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่สองเพราะผู้บริโภคยังคงลังเลเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและโลก ขณะที่ราคาพืชผลทางการเกษตรยังอยู่ในระดับต่ำ (Bangkok Post)ความเห็น: เราคาดว่าจะเห็นตัวเลขดีขึ้นในปีหน้าจากการคาดการณ์ว่าการใช้จ่ายของภาครัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้นและบรรเทาความกังวลเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจโลก

• แจกเงิน 1.9 หมื่นล้านจะแล้วเสร็จในเดือนนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลังระบุว่าเงินช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยได้ดำเนินการไปแล้วผ่านธ.กรุงไทย ธ.ออมสิน ธกส. ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในสิ้นเดือนนี้ (Bangkok Post)

• กพช.อนุมัติการดำเนินงานของ PTTคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลวระยะยาว ระหว่าง PTT กับบริษัท PETRONAS รองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยกำหนดส่งมอบในปีละประมาณ 1.0-1.2 ล้านตัน/ปี อายุสัญญา 15 ปี เพื่อรองรับกับความต้องการบริโภคก๊าซธรรมชาติในประเทศที่มองว่าจะสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ และเพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ปริมาณก๊าซฯ ในประเทศที่จะไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ดังกล่าว โดยเฉพาะจากแนวโน้มความล่าช้าของการเปิดประมูลแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมใหม่ๆ ในประเทศ ทั้งนี้กระทรวงพลังงานประเมินความต้องการใช้ก๊าซฯ ในปี 2579 จะอยู่ที่ระดับ 5,062 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน เพิ่มขึ้นจากประมาณการก่อนหน้าซึ่งอยู่ระดับที่ 4,344 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ขณะที่การจัดหาก๊าซฯ จากอ่าวไทยจะมีปริมาณลดลงในอนาคต ส่งผลให้ต้องนำเข้า LNG เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าปี 2565 จะต้องนำเข้า LNG ประมาณ 17.4 ล้านตัน/ปี เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมอยู่ที่ 13.5 ล้านตัน/ปี และในช่วงปี 2579 จะนำเข้า LNG เพิ่มขึ้นถึง 34 ล้านตัน/ปี จากประมาณการเดิมอยู่ที่ 31 ล้านตัน/ปี นอกจากนี้กพช. ยังอนุมัติให้ PTT ดำเนินโครงการก่อสร้างสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Receiving Terminal) แห่งที่ 2 ในจ.ระยอง ด้วยกำลังการแปรสภาพ LNG เพิ่มเป็น 7.5 ล้านตัน/ปี เงินลงทุนรวม 3.85 หมื่นลบ. (The Nation)

ต่างประเทศ:

• ECB ลดวงเงินเข้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE แต่ขยายระยะเวลาออกไป ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เผยจะปรับลดวงเงินการเข้าซื้อพันธบัตรเหลือ 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนจากปัจจุบันที่ 8 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน โดยเริ่มตั้งแต่เดือนเม.ย. 2017 แต่ขยายระยะเวลาออกไปจนถึงสิ้นปี 2017 ECB ให้ความหวังว่าการยืดอายุมาตรการดังกล่าวจะช่วยให้เศรษฐกิจยุโรปที่ยังอ่อนแออยู่ดีกขึ้น ก่อนหน้านี้ ตลาดคาดว่า ECB จะยังคงวงเงินในการเข้าซื้อพันธบัตรเท่าเดิมที่ 8 หมื่นล้านยูโรแต่ขยายระยะเวลามาตรการฯ ออกไปอีกเพียง 6 เดือน (Reuters) ความเห็น: ถึงแม้ว่านายมาริโอ ดรากี ประธาน ECB กล่าวว่าการกระทำดังกล่าวไม่ได้เป็นการสิ้นสุดของมาตรการ QE โดยทันที แต่อาจแปลความหมายได้ว่าเป็นการเริ่มลดวงเงินในการเข้าซื้อพันธบัตรแล้ว ความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้ฉุดให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะสั้นปรับตัวลงทั่วยุโรปและทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรชันขึ้น ซึ่งเป็นผลดีสำหรับธนาคารที่ปกติแล้วกู้ยืมอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นและปล่อยกู้อัตราดอกเบี้ยระยะยาว

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวขึ้นเมื่อวันพฤหัส เป็นไปตามพันธบัตรยุโรปหลังจาก ECB ประกาศยืดอายุมาตรการ QE ออกไปตามคาด แต่ทำให้เทรดเดอร์ตะลึงถึงปริมาณพันธบัตรที่ ECB จะเข้าซื้อในแต่ละเดือน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น 4 bps อยู่ที่ระดับ 2.393% ลดลงจากระดับสูงสุดในรอบวันที่ 2.427% (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นกว่า 1% เทียบกับเงินยูโรเมื่อวันพฤหัสหลัง ECB ปรับลดวงเงินในการเข้าซื้อพันธบัตรแต่ขยายระยะเวลามาตรการ QE นานกว่าที่หลายคนคาด เงินยูโรเทรดในช่วงสั้น ๆ อยู่ที่ระดับ 1.0872 ดอลลาร์สหรัฐ หลังมติที่ประชุมของ ECB ก่อนลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.0618 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งลดลง 1.25% ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ปิดเพิ่มขึ้น 0.87% ที่ระดับ 101.10 เมื่อเทียบกับเงินเยน ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้น 0.25% สู่ระดับ 114.06 เยน (Reuters)

สหรัฐ:

• ตลาดหุ้นวอลสตรีทปรับตัวขึ้นต่อเมื่อวันพฤหัส โดยทั้ง 3 ดัชนีหลักได้ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งในขณะที่การทะยานขึ้นของตลาดในช่วง 1 เดือนหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งยังดำเนินต่อไปเนื่องจากมีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศของสหรัฐและการปรับลดภาษีนิติบุคคลและมาตรการต่าง ๆ ที่จะออกมา นอกจากนี้ ตลาดฯ ยังได้แรงหนุนจากตัวเลขผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานที่ลดลงซึ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานสหรัฐซึ่งตอกย้ำถึงแนวโน้มเศรษฐกิจอันแข็งแกร่งของสหรัฐ (Reuters)

• ตัวเลขขอรับสวัสดิการว่างงานร่วงจากจุดสูงสุดรอบห้าเดือนสัปดาห์ที่แล้ว โดยตัวเลขปรับผลของฤดูกาลแล้วลดลง 10,000 เหลือ 258,000 สำหรับสัปดาห์สิ้นสุด 3 ธ.ค. และไม่มีการปรับแก้ไขตัวเลขในสัปดาห์ก่อน เป็นสัปดาห์ที่ 92 แล้วที่ตัวเลขอยู่ต่ำกว่าระดับ 300,000 ระดับที่ถือว่าตลาดแรงงานอยู่ในระดับที่ดี ถือเป็นช่วงที่ยาวที่สุดนับแต่ปี 2513 ตลาดแรงงานใกล้ระดับการจ้างงานเต็มที่ โดยรัฐรายงานสัปดาห์ที่แล้วว่าอัตราการว่างงานลดลงสู่จุดต่ำสุดรอบ 9 เดือนที่ 4.6% ใน พ.ย. ท่ามกลางตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง (Reuters)

ยุโรป:

• ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันพฤหัสบดีปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือนหลังจากมติของ ECB ที่ตัดสินใจลดวงเงินโครงการ QE ผิดไปจากที่ตลาดคาดส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวในยูโรโซนสูงขึ้นและหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวสูงขึ้นโดดเด่น (Reuters)


เอเชีย:

• ผู้ผลิตญี่ปุ่นขนาดใหญ่หันมามองในแง่ดีมากขึ้นเกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาส 4/59ถึงแม้ว่าจะมีการปรับลดแผนการใช้จ่ายเงินทุนสำหรับปีงบการเงินปัจจุบัน ดัชนีการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (BSI) ของผู้ผลิตรายใหญ่อยู่ที่ +7.5 ในไตรมาส 4/59 เทียบกับ +2.9 ในไตรมาส 3/59BSI เป็นตัววัดเปอร์เซ็นต์ของบริษัทที่คาดว่าสภาพแวดล้อมทางธุรกิจดีขึ้นจากไตรมาสก่อนลบด้วยเปอร์เซ็นต์ของบริษัทที่คาดว่าจะเลวลง (Reuters)

• การนำเข้าของจีนขยายตัวในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบกว่าสองปีที่ผ่านมาในเดือนพฤศจิกายน เร่งด้วยการขึ้นอย่างแข็งแกร่งในสินค้าประเภทถ่านหิน และแร่เหล็กในขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างคาดไม่ถึง สะท้อนให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นในความต้องการทั้งในประเทศและทั่วโลก ยอดการนำเข้าของจีนในเดือนพ.ย. ขยายตัว 6.7%YoYแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย.2557 การส่งออกเพิ่มขึ้น 0.1% YoYความต้องการจากทุกคู่ค้าที่สำคัญของจีนปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งยุโรปและสหรัฐอเมริกาแม้ว่าการจัดส่งไปยังประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ยังคงอ่อนแอ จีนจึงเกินดุลการค้าในเดือน พ.ย. 44.61 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับ 49.06 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือน ต.ค. นักวิเคราะห์คาดว่าการส่งออกเดือน พ.ย.ลดลงค่อนข้างมาก หลังจากลดลง7.3% ในเดือน ต.ค. การนำเข้าก็ลดลงในระดับเดียวกัน (Reuters)

• หุ้นจีนลดลงเล็กน้อยในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา แม้มีข้อมูลที่แสดงตัวเลขการค้าในเดือน พ.ย.ดีขึ้นกว่าที่คาด แต่ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศลดลง นักลงทุนมีความเสี่ยงหลังทุนสำรองเงินตราต่างประเทศลดลงเกือบ 70 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเดือนที่แล้วสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบหกปี ขณะที่ธนาคารกลางจีน(PBOC) พยายามที่จะประคับประคองค่าเงินหยวน(Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• ราคาน้ำมันดิบดีดกลับจากจุดต่ำสุดรอบสัปดาห์และยืนเหนือ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลได้ในวันพฤหัส ด้วยแง่บวกที่เพิ่มขึ้นว่าประเทศนอกกลุ่ม OPEC จะตกลงลดกำลังการผลิตได้หลังจากที่ OPEC ตกลงลดกำลังการผลิตไปแล้ว น้ำมันดิบ Brent บวก 89 เซนต์หรือ +1.7% ปิด 53.89 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบ ม.ค. ปิดบวก 1.07 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (+2.3%) อยู่ที่ 50.84 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)

• ราคาทองคำถอยมาแดนลบวันพฤหัส เพราะดอลลาร์กลับมาแข็งค่าเทียบกับยูโรเพราะการประชุม ECB ออกมาว่าจะขยายการเข้าซื้อสินทรัพย์จนถึง ธ.ค. ปีหน้าแม้จะซื้อรายเดือนน้อยลง ราคาทองคำตลาดจรลบ 0.3% ที่ 1,170.40 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองคำสหรัฐล่วงหน้าลบ 0.4% ที่ 1,172.40 ดอลลาร์สหรัฐ (Reuters)