พิษน้ำท่วมภาคใต้ตลาดรับสร้างบ้านสะดุด

 พิษน้ำท่วมภาคใต้ตลาดรับสร้างบ้านสะดุด

พีดีเฮ้าส์” ชี้พิษน้ำท่วมภาคใต้ กระทบเศรษฐกิจ -ตลาดรับสร้างบ้าน รับยอดขายบ้านปีนี้วืดเป้า 1.2 พันล้าน ปรับกลยุทธ์ หันควบคุมต้นทุน

นายพิศาล ธรรมวิเศษ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้าน พีดีเฮ้าส์ เปิดเผยว่า จากปัญหาน้ำท่วมในหลายๆ พื้นที่ 14 จังค่ะหวัดภาคใต้  ทำให้การขนส่งและเดินทางยาก ส่งผลต่อการค้าและบริการ ซึ่งคาดว่าจะส่งกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของภาคใต้ในช่วงโค้งสุดท้ายปีนี้ รวมถึงธุรกิจรับสร้างบ้านด้วย

โดยในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา ตลาดรับสร้างบ้านในภาคใต้ ถือว่ามีการฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่ยังชะลอตัวหรือแค่ทรงตัว ปัจจัยสำคัญเป็นเพราะผู้บริโภคในภาคใต้ ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับคุณภาพ บริการ และความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการมากกว่าเรื่องราคา ธุรกิจรับสร้างบ้านจึงมีการแข่งขันไม่รุนแรงนัก

อย่างไรก็ดี ในช่วงท้ายปีนี้ต้องยอมรับว่ากำลังซื้อผู้บริโภคบางส่วนสะดุดลง ด้วยเพราะอารมณ์จับจ่ายใช้สอยและการลงทุนเรื่องบ้านชะลอตัว ประกอบกับสถานการณ์น้ำท่วมที่กำลังเกิดขึ้น จึงคาดว่าจะทำให้ยอดขายบ้านของบริษัท ในภาคใต้ลดลงพอสมควร และอาจฉุดให้ตัวเลขยอดขายบ้านทั่วประเทศของบริษัทมีโอกาสต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 1,200 ล้านบาท

สำหรับบกลยุทธ์และการปรับตัวเพื่อรับมือกับสภาพเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ บริษัทได้หันมาเน้นควบคุมต้นทุนค่าบริหารและใช้จ่ายต่างๆ ลง อาทิ  ชะลอเปิดสาขาใหม่เดิมมีแผนขยายสาขา 1-2 แห่ง แต่ด้วยเพราะเศรษฐกิจในต่างจังหวัดยังไม่ฟื้นตัวดังที่คาดไว้

และลดจำนวนสาขาที่อยู่ใกล้กันหรือสาขาที่มียอดขายน้อย การใช้แอพพลิเคชั่นนำเสนอแบบบ้านแทนโบชัวร์หรือสิ่งพิมพ์  นอกจากนี้ ยังมีการปรับแบบบ้านและลดวัสดุฟุ่มเฟือยที่ใช้สร้างบ้าน (Re-Product) แต่ยังคงทันสมัยไว้เหมือนเดิม เพื่อลดต้นทุนก่อสร้างบ้านให้สอดคล้องกับกำลังซื้อ และความต้องการของผู้บริโภคในสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งหันมาใช้ระบบบ้านโครงสร้างเหล็ก เพื่อสามารถก่อสร้างได้รวดเร็ว

 ทั้งนี้จากการปรับตัวและการดำเนินการดังกล่าว ทำให้ราคาค่าก่อสร้างบ้านลดลงจากเดิมเฉลี่ย 3-7% หรือราคาบ้านเริ่มต้นที่ 1.5 หมื่นบาทต่อตร.ม.  ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการแข่งขันของบริษัทที่จะเข้าถึงกำลังซื้อกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มราคาบ้าน 1.5-3 ล้านบาท ที่ผู้บริโภคมีความต้องการมากที่สุด และกลุ่มราคาบ้าน 3 -5 ล้านบาท ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภครองลงมา คิดเป็นสัดส่วนรวมกันมากกว่า 60% ของมูล่ารวมตลาดบ้านสร้างเอง

 สำหรับแผนการขยายสาขาในปีหน้า คงต้องรอดูแนวโน้มเศรษฐกิจประเทศและเศรษฐกิจโลกอีกครั้งว่าจะเป็นไปในทิศทางใด โดยมองว่าเศรษฐกิจปี 2560 น่าจะไม่ขยายตัวหรือแค่ทรงตัวต่ออีกปีหนึ่ง