พ่อจ๋า หนูคิดถึงพระราชา

พ่อจ๋า หนูคิดถึงพระราชา

“...เขาบอกพระราชานั่งอยู่บนบัลลังก์ ใส่เสื้อคลุมหนัง บนยอดปราสาทเสียดฟ้า แต่ว่าราชาของฉัน ทรงเดินอยู่บนผืนหญ้า...”

“พ่อกับแม่ร้องไห้ทำไม” ลูกสาววัย 5 ปีของเขาถาม หลังจากทั้งสองดูทีวีในค่ำคืนนั้น

พ่อบอกลูกว่า “พ่อเสียใจและคิดถึงพระราชา เพราะพระองค์ไปสู่สรวงสวรรค์แล้ว”

เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ บอกพ่อว่า “ถ้าคิดถึงพระราชา ก็ขับรถไปหาสิ”

......................................

นี่คือ เหตุการณ์ในค่ำคืนวันที่ 13 ตุลาคม 2559 มาเซน อาลี ชาห์ เมื่อได้รับทราบข่าว ในหลวง รัชกาลที่ 9 สวรรคต เขาน้ำตาซึม และไม่อาจอยู่นิ่งได้

ตามประสานักแต่งเพลง เขาจรดปากกาลงบนกระดาษ...

"เขาบอกพระราชา ที่อยู่ในนิทาน

จะใส่มงกุฎอันแสนสวยงาม

แต่ว่าราชาของฉัน เวลาออกไปทำงาน

มีเพียงหมวกเล็กๆ แค่หนึ่งใบ

เขาบอกพระราชา มีแต่คนรับใช้

จะไปไหนก็แสนจะสุขสบาย

แต่ว่าราชาของฉัน

ทรงเหนื่อยล้ามามากมาย

ลำบากเพื่อเราคนไทยทุกๆ คน....."

บทเพลงส่วนหนึ่งจาก พระราชาในนิทาน ‘มาเซน’ เขียนคำร้องและทำนองออกมารวดเดียวจบในคืนนั้น

แม้เขาจะเป็นคนทำเพลงที่ไม่โด่งดังมากนัก แต่ความละเมียดละไมของบทเพลงนี้ ทำให้เด็กๆ อยากร้องเพลงนี้ ทำให้ยอดวิวในยูทูบกว่า 6 ล้านวิว (วันที่ 2 ธค.59) แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะเขาทำเพลงนี้ด้วยใจ เพื่อในหลวง รัชกาลที่ 9

“ปกติเวลาเขียนเพลง เราจะมีเรื่องราว ต้องย้อนคิดกลั่นกรองให้ดีที่สุด แต่เพลงๆ นี้ ผมฉีกทุกตำราทิ้งหมด ผมเขียนแบบไม่ต้องคิด” มาเซน เล่าถึงความรู้สึกระหว่างการเขียนเพลง โดยอยากจะบอกทุกคนว่า

“ราชาของฉัน คือเทวดาเดินดิน ”

คงต้องถามจุดเริ่มต้นของเพลงนี้สักนิด ?

จุดเริ่มต้นคือ ผมได้เห็นภาพหนึ่งในเฟสบุ้คที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ประทับบนพื้น หลังพิงรถจิ๊บ ทำให้ผมย้อนคิดกลับไปว่า เวลาเล่านิทานให้ลูกสาวฟัง ไม่มีพระราชาองค์ไหนในนิทานที่จะต้องเหน็ดเหนื่อยเพื่อประชาชนขนาดนี้ เราก็เลยนึกถึงนิทานที่จะเล่าให้ลูกฟัง

แม้พระองค์จะทรงสูงส่ง แต่ทรงทำตัวธรรมดาๆ ผมขอมองประเด็นนี้ เวลาที่คนเรามีอำนาจมากๆ เรามักจะหลง ใช้อำนาจที่มีอยู่ และคิดว่า ฉันดี ฉันเจ๋ง ฉันจะอยู่ในที่ที่ฉันควรอยู่ แต่พระองค์ท่านไม่ใช่แบบนั้น เพลงพระราชาในนิทาน สรุปใจความง่ายๆ สั้นๆ เป็นเพลงที่เล่าถึงพระราชาองค์หนึ่งที่ยอมทิ้งความสะดวกสบายในพระราชวัง ออกตระเวณในถิ่นทุรกันดาร เพื่อช่วยเหลือพสกนิกร ดังคำที่บอกว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวสยาม พระองค์ไม่เพียงแค่ตรัส ทรงทำให้ดู มีไม่กี่คนในโลกที่พูดแล้วทำ และทำสุดชีวิต ทำให้พระองค์กลายเป็นคนพิเศษในโลกใบนี้

เพลงนี้ใช้เวลาแต่งคืนเดียว ?

ผมแต่งคืนวันที่ 13 ตุลาคม 2559 และเสร็จในคืนนั้นในส่วนของเนื้อร้องและทำนอง และวันรุ่งขึ้นผมพยายามเรียบเรียงดนตรีให้สมบูรณ์ ระหว่างนั่งทำอยู่ ทางคุณแม่ชีศันสนีย์ เสถียรธรรมสถานให้คนโทรหาผม เชิญชวนว่า เรามาทำอะไรเพื่อพ่อหลวงกัน เป็นเรื่องที่บังเอิญและลงตัว แต่ขณะเดียวกัน ผมก็ไม่ค่อยไม่มั่นใจ เพราะเรากำลังพูดแทนคนไทยทั้งประเทศ ก็เลยชวนรุ่นพี่(ใจเอื้อ โกศลธนศังกร) มาช่วยเรียบเรียงเพลง เพราะเขาเก่งกว่าผม พอไปถึงเสถียรธรรมสถาน เมื่อทุกคนได้ฟังเพลงนี้ ก็รู้สึกว่านี่แหละคือ บทเพลงสำหรับเด็กๆ มีคนถามผมว่า ทำไมชื่อ “พระราชาในนิทาน” ทำไมไม่ตั้งชื่อเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับพระองค์ท่าน ยกตัวอย่างพระราชาในดวงใจ หรือพระราชาในรัชกาลที่ 9

แล้วคุณให้เหตุผลว่ายังไง

ผมบอกว่า เพลงๆ นี้ ผมอยากให้เด็กตัวเล็กๆ ที่เกิดในรัชกาลนี้ได้ฟัง และร้องเพลงนี้ เพราะพวกเขาไม่ทันรับรู้เรื่องราวของพระองค์ท่าน ถ้าพวกเขาได้ฟัง ได้ร้องเพลงนี้ ในอนาคตเมื่อเขาโตขึ้น มีลูกของตัวเอง เขาจะได้มีนิทานเรื่องใหม่ที่มีพระราชาพระนามว่า ภูมิพล ไว้เล่าให้ลูกๆ ฟังตราบชั่วนิรันดร์ คำตอบก็เลยออกมาว่า เพลงนี้เด็กร้อง

แต่ละประโยคที่ผมแต่ง โน้ตเพลงมาเองโดยอัตโนมัติ เวลาเรียบเรียง แทบไม่ต้องใช้ความคิดเลย รู้เลยว่า เนื้อร้องตรงไหน ต้องเป็นเปียโนหรือไวโอลิน ถ้าพูดตามประสาคนทำเพลงมืออาชีพ เหมือนเราทำเพลงเล่นๆ ไม่กลั่นกรองความคิด และไม่ใช้นักร้องอาชีพ เราให้เด็กๆ ร้อง และไม่มีเจตนาขาย ไม่มีเรื่องแบบนั้นในหัวเลย คิดแค่ว่าอยากจะทำอะไรเพื่อในหลวง รัชกาลที่ 9 และเราถนัดด้านนี้ก็ทำ

ระหว่างร้องเพลงนี้ เด็กๆ ก็ร้องไห้ไปด้วย ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่า พระองค์ท่าน ทรงทำอะไรบ้าง

นั่นสิ จริงๆ แล้วเด็กๆ ที่มาร่วมร้องเพลง อายุุไม่เกิน 11 ขวบ ผมมองว่า จิตมนุษย์เป็นจิตเปิด เมื่อใครมอบอะไรดีๆ หรือมอบความรักให้เรา ใครทำดีต่อเรา แวบแรกเราสัมผัสได้ หรือเวลาใครทำร้าย เราก็รู้สึกได้ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็สัมผัสความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ได้ ทั้งๆ ที่ตอนเกิดมา ไม่รู้หรอกว่า นี่พ่อ นี่แม่ แต่เป็นคนให้ความรักเขา เขาก็รักกลับแบบสุดหัวใจ ขณะเดียวกันเรื่องราวของพระองค์ท่าน ไม่ว่าจะผ่านตา ผ่านคำพูด ผ่านเสียงเพลง หรืออะไรก็ตาม ผมเชื่อว่า เด็กๆ สัมผัสความรักของพระองค์ท่านได้ เพราะพระองค์ทรงรักพวกเรา แค่นั้นเองครับ มันเป็นความรักและความบริสุทธิ์

ลูกผมอายุ 5 ขวบ ก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ผมและแม่เขา ต้องนั่งร้องไห้ แต่พอผมทำเพลงเสร็จ ผมเปิดให้ลูกฟัง พอเพลงจบ เขาร้องไห้ แล้วบอกว่า “พ่อจ๋า หนูคิดถึงพระราชา หนูรักพระราชา” ทั้งๆ ที่เขาแทบจะไม่เคยรับรู้เรื่องพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน แต่เห็นภาพพระองค์ตามท้องถนน เราก็บอกว่า นี่คือพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 และเมื่อพระองค์ไปอยู่บนสรวงสวรรค์ พระองค์ก็ยังส่งพรจากฟ้า ความรัก ความห่วงใยไปยังคนไทยทุกคน

เด็กๆ ที่มาร้องเพลง ไม่ใช่นักร้องมืออาชีพ ถ้าอย่างนั้นจัดการยากไหม

ใช่ครับ ไม่ใช่นักร้องมืออาชีพ ชวนมา 5 คนก็มากัน 200-300 คน วันที่อัดวีดิโอและอัดเสียงก็วันเดียวกัน เด็กบางคนไม่เคยฟังเพลงมาก่อนด้วยซ้ำ บางคนเป็นลูกครึ่ง ไม่รู้ภาษาไทย คุณแม่ช่วยแกะเนื้อเพลงเป็นภาษาคาราโอเกะให้ร้องในวันนั้น และไม่น่าเชื่อว่า เด็กๆ จะร้องออกมาได้ดีขนาดนั้น ในแง่การถ่ายทำ ปกติเด็กๆ ต้องมีซน มีท้อ ไม่อยู่เฉยๆ แต่วันนั้นเด็กสงบนิ่ง พยายามอดทน แดดก็ร้อง ฝนก็ตก ไม่มีใครถอย ปกติถ้าเด็กไม่เอา ก็ไม่หยุดซน

เด็กๆ สามารถอยู่นิ่งๆ และตั้งใจร้องเพลงนี้จนจบได้ยังไง

ถ้าผมจะบอกว่าปาฎิหาริย์ จะดูเว่อร์ไปไหม เรื่องบางเรื่องอธิบายลำบาก ผมฟังเด็กๆร้องเพลงตั้งแต่ต้นจนถึงท่อนสุดท้ายที่เขียนว่า “ขอส่งให้เสียงเพลง ดังไปยังสวรรค์" ทุกคนจะตะโกนท่อนนี้ โดยไม่นัดหมาย และเวลาเด็กๆ ร้องเพลงนี้ในโรงเรียน ท่อนนี้ ทุกคนจะตะโกนสุดชีวิตเหมือนกัน อธิบายยากครับ ถ้าจะตอบ ผมอยากบอกว่า เป็นเพราะความรักที่คนไทยมีให้พระองค์ท่าน ความรักเป็นนามธรรมที่มนุษย์สัมผัสได้

ต้องการให้เพลงๆ นี้ สื่อถึงอะไร

สื่อถึงความเสียสละ ความรักที่พระองค์มีให้เรา และความรักที่เรามีให้พระองค์ เนื้อเพลงมีแค่นี้เองครับ

ภูมิใจไหมที่เพลงพระราชาในนิทาน เข้าไปอยู่ในหัวใจเด็กๆ แล้ว

ผมเองก็เป็นนักแต่งเพลงตัวเล็กๆ ผมไม่เคยทำเพลงที่ทำด้วยตัวเองแบบนี้ ส่วนใหญ่ทำเพลงที่มีกระบวนการเยอะ ผมไม่ภูมิใจในฐานะคนแต่งเพลง แต่ผมภูมิใจในฐานะคนไทย อย่างน้อยๆ เพลงนี้ได้ส่งพระราชาเข้าไปอยู่ในหัวใจของเด็กๆ แล้ว และความสำเร็จไม่ใช่เพลงอย่างเดียว เด็กๆ ร้องออกมาด้วยความจริงใจ และตอนนี้สถานการณ์คนไทยคิดถึงพระองค์ท่าน พ่อแม่บางคนเล่าให้ผมฟังว่า ลูกร้องเพลงนี้ให้ฟัง ทั้งๆ ที่เด็กไม่รู้ว่าเป็นเพลงอะไร แต่พ่อแม่น้ำตาไหล

แบบอย่างเรื่องใดที่คุณได้จากพระองค์ท่านและนำมาใช้กับชีวิต

ความพอเพียง อย่างน้อยๆ ก็ทำให้เราลดอัตตาในโลกทุนนิยมไปได้ เราไม่จำเป็นต้องมีเหมือนคนอื่น เรามีเท่าที่เรามี ก็มีความสุขได้ ถ้าคิดได้แค่นี้ เงินในกระเป๋าก็จ่ายน้อยลง เมื่อรายจ่ายน้อย รายรับก็มากความมั่นคงในชีวิตก็มากขึ้น คิดง่ายๆ แค่นี้ ถ้าทุกครอบครัวคิดได้แค่นี้ ก็ไม่ลำบาก แต่ทุกวันนี้ที่ลำบากกัน เพราะเขาอยากมีรถ อยากมีเสื้อผ้าแบรนด์เนม ก็เลยต้องไขว่คว้าในสิ่งที่ไม่ถูกเท่าที่ควรนัก

เป็นคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มโลกสวย?

รู้ไหมมีคนโลกสวยกว่าผมอีก ใครหรือ...ในหลวง รัชกาลที่ 9 ถ้าพระองค์ไม่มองทุกอย่างสวยงาม ถ้าพระองค์ทรงมองแบบแยกแยะว่า อันไหนสูง อันไหนต่ำ ดำ ขาว อันไหนไม่ดี พระองค์คงอุทิศตนเพื่อคน 70 ล้านคนไม่ได้แบบนี้ เราเองแค่ช่วยคน 10-20 คน บางครั้งเราก็รู้สึกท้อแล้ว แต่พระองค์ทรงทำแบบไม่มี How to และพระองค์คิดว่า ไม่ควรเป็นกษัตริย์ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ การเป็นกษัตริย์ที่ดีต้องลงไปช่วยเหลือคน และสำคัญที่สุดคือ ต้องทำงานด้วยชีวิต และไม่มีตำรา พระองค์ทรงทำและเรียนรู้ด้วยพระองค์เอง ทรงทุ่มเท ผลลัพท์จึงออกมาดี

ไม่ต้องคิดให้ซับซ้อน ?

ก็คิดง่ายๆ แบบนี้ พระราชดำรัสของพระองค์ท่าน เท่าที่ผมจำได้เรื่องปิดทองหลังพระ เราควรช่วยเหลือคนบางเรื่องที่คนอื่นไม่ทำกัน เวลาช่วยเหลือใคร ก็ไม่จำเป็นต้องบอกให้คนรู้มากมาย เราก็ทำหน้าที่ของคนไทยที่ดีอย่างคุณแม่ชีศันสนีย์บอกว่า เรื่องทุกเรื่อง ถ้าเราทำตัวเล็ก เดี๋ยวจะใหญ่เอง ถ้าเราอยากให้มีต้นไม้ เราก็บอกคนไปสิว่า ต้นไม้ดีนะ สัตว์ป่าดีนะ ทำให้เกิดสิ่งสวยงาม อย่างน้อยๆ เราก็มีเพื่อน แม้จะไม่ใช่เพื่อนสปีชีส์เดียวกัน แต่ก็ให้ความสุขเราได้ คุณรู้ไหม ทำไมเด็กๆ ชอบไปสวนสัตว์ เด็กๆ ได้เห็นช้าง ยีราฟ ก็ตื่นเต้นมีความสุข ผมเองเคยทำรายการทีวี เอาฝรั่งคนหนึ่งตระเวนไปดูเจ้าหน้าที่ป่าไม้ทำงาน พาไปรู้เรื่องราวของสืบ นาคะเสถียร ที่ต่อสู้เพื่อผืนป่าในประเทศไทย

แล้วทำไมเลิกทำรายการทีวี

ทั้งหมดที่ทำเป็นงานอดิเรก เราทำในจังหวะที่ทำได้ ผมต่างจากคนอื่นที่อุทิศตัวเพื่อสังคมโดยตรง ผมก็แค่คนธรรมดาๆ ที่ว่าง อยากทำก็ทำ ดีกว่าปล่อยเวลาไปเปล่าประโยชน์ อย่างน้อยก่อนตาย ฉันได้ทำแล้ว

งานเพลงก็เป็นงานอดิเรก ?

ผมมีธุรกิจแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง และอีกส่วนช่วยบริหารโรงแรม งานเพลงผมทำเป็นงานอดิเรก แต่ชอบมาก เคยคิดเรื่องแต่งเพลงตั้งแต่เรียนประถม ครอบครัวเราเป็นนักธุรกิจ ก็สอนให้ผมค้าขาย ผมหลงใหลในดนตรีประกอบภาพยนตร์ เคยคิดเล่นๆ ว่าอยากแต่งเพลงให้หนังฮอลลีวู้ดบ้าง ก็ได้ร่วมงานกับโปรดักชันฮอลลีวู้ดที่มาถ่ายทำในประเทศไทย ได้ทำเพลงประกอบภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเกรดบีสามเพลง แค่นี้ก็ดีสำหรับผม มีความสุขแล้ว

การทำเพลงเพื่อเด็กๆ และเพื่อสังคม มีที่มาที่ไปอย่างไร

ตอนผมมีโอกาสไปเดินเล่นในเสถียรธรรมสถาน ได้พบคุณแม่ชีศันสนีย์โดยบังเอิญ ตอนนั้นท่านถามว่า ทำอาชีพอะไร ผมบอกว่า ผมทำเพลง ท่านกำลังหาคนทำเพลงธรรมะสวัสดี ผมก็เลยทำให้ ทั้งเนื้อร้อง ทำนอง เรียบเรียง พอผลตอบรับดี ทำให้ผมรู้สึกว่า เราก็ทำเพลงเพื่อสังคมได้ เพราะฉะนั้นถ้าใครใช้ให้ทำเพลงประกอบเพื่อการกุศล ผมก็รับทำ ผมเคยทำเพลงแชร์สมาย เกี่ยวกับในหลวง รัชกาลที่ 9 เพลงนี้แต่งมาสามปี และมาถึงเพลงนี้ พระราชาในนิทาน ถ้าใครโทรมาขออนุญาติผม ผมบอกใช้ได้เลย ไม่ต้องมาจ่ายเงินผม เพราะนี่คือ เพลงของพ่อ ทุกคนมีพ่อคนเดียวกัน แต่ถ้านำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ก็ผิดวัตถุประสงค์ของเสถียรธรรมสถานและตัวผมด้วย ถ้าจะเอาไปประกอบรายการ ก็ทำหนังสือไปที่เสถียรธรรมสถาน แต่ถ้าเด็กๆ อยากร้องเพลงนี้ในโรงเรียน ก็ร้องได้เลย

ก่อนหน้านี้ ก็ไม่ได้สนใจพุทธศาสนา แล้วอะไรทำให้คุณเห็นว่า สำคัญต่อชีวิต

ตอนเป็นวัยรุ่น ไม่เคยเชื่ออะไรเลย นอกจากตัวเอง ประกาศว่าฉันไม่มีศาสนา นับถือตัวเอง เป็นสิ่งที่คิดผิด ตอนนั้นไม่เข้าใจว่า ทำไมคนไทยต้องนับถือพุทธ ต้องไหว้พระ แต่ผมมีนิสัยอย่างหนึ่ง ถ้าไม่เข้าใจอยากรู้แล้วต้องไปให้สุด ผมบวชในสำนักสงฆ์ ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟฟ้า อยู่ในป่าหกเดือน นั่งสมาธิในถ้ำ ฝึกเจริญสติ วิปัสนา แล้วพบความจริงว่า พุทธศาสนามีข้อดีให้อะไรกับคนบ้าง อย่างน้อยๆ เราก็ใช้พุทธศาสนาละความชั่วในตัวเราได้ ถ้าเราละความชั่วได้ เราก็มอบสิ่งดีๆ ให้ผู้อื่นได้ ถ้าเราไม่โกรธเขา เราก็ช่วยเขาได้ เราไม่เกลียดเขา เราก็รักเขาได้ เราไม่คิดถึงตัวเองมากไป เราก็สามารถยื่นมือไปช่วยเพื่อนมนุษย์ได้ แต่ตอนอายุ 20 กว่าๆ ตามประสาฮอร์โมนที่พลุ่งพล่านมีสิ่งเร้าเยอะ พอบวชไปอยู่ในป่า เริ่มรู้สึกว่า เราควรทำดีเพื่อสังคมบ้าง กรรมดีก็เหมือนกรรมเลว ไม่ต้องรอชาติหน้า

สุขแบบง่ายๆ ของคุณเป็นยังไง

สุดท้ายมนุษย์ต้องการอย่างเดียว คือ ความสุข ความสุขหล่อเลี้ยงหัวใจมนุษย์ ให้เรามีชีวิตต่อไป ในเมื่อเป็นปัจจัยหลักในการทำให้เรามีชีวิตต่อไป แล้วเราจะทำให้เป็นเรื่องยากทำไม เรากิน เราหายใจ ยังไม่ยากเลย แล้วทำไมเราจะหาความสุขแบบง่ายๆ ไม่ได้

ชัดเจนกับเส้นทางตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่

ทำไมผมถึงคิดเรื่องนี้ได้แบบตระหนักรู้จริงๆ ก็ตอนมีลูก แล้วลูกป่วยหนักมาก ตอนลูกสองขวบติดเชื้อที่ต่อมน้ำเหลือง แล้วไม่ใช่เชื้อที่อยู่ในประเทศไทย ฉีดยาห้าเข็มก็ไม่หาย เพราะเชื้อดื้อยา ก่อนจะผ่าตัด หมอบอกว่า เด็กมีสิทธิเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีก พอผ่าแล้วต้องเปิดแผลคาไว้ที่หน้าห้าเดือน เพื่อให้หนองออก เด็กสองขวบทรมานมาก ร้องลั่นโรงพยาบาลทุกวัน เราก็ทุกข์ ยิ่งตอกย้ำความคิดเรื่องสุขง่ายๆ เพราะปกติเรามีลูกก็มีความคาดหวัง บางคนอยากให้ลูกเป็นหมอ เป็นนักแสดง แล้วแต่จริตแต่ละคน

แต่เมื่อลูกผมผ่านเหตุการณ์นั้น ผมหยุดหวังเรื่องแบบนั้นเลย ไม่ว่าเขาจะมีอาชีพอะไรก็ตาม ขอให้เขามีความสุขจริงๆ เมื่อเขามีความสุขในชีวิต เมื่อโตขึ้นก็จะแผ่ความสุขไปให้คนอื่นด้วย เหมือนเวลาเราอยู่ใกล้ใครสักคนที่เขามีความสุขกับชีวิตจริงๆ บางคนอยู่ใกล้ๆ เรารู้สึกสงบ สบายใจ คงเพราะเขามีบารมี และคำว่าบารมีไม่ได้เกิดเฉพาะนักบวช เกิดขึ้นได้กับทุกคน อย่างคุณเดินยิ้ม อย่างน้อยๆ คนที่คุณไม่รู้จักสักคน ก็หันมายิ้มด้วย เขาก็ลืมความทุกข์ไปชั่วขณะหนึ่ง

มีอะไรที่คุณอยากแบ่งปันกับสังคมอีก ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ก็ได้

ในทุกๆ โอกาสที่ผมสามารถทำได้ ผมก็จะทำเพื่อสังคม ขออนุญาติไม่เลือก ไม่ตั้ง ไม่คิดล่วงหน้า แต่จะไม่รีรอที่จะร่วมมือกับใคร ถ้าบอกว่า โครงการนี้เพื่อสังคม หรือเพื่อช่วยเหลือใคร ผมสามารถแจมได้

...........................

บทเพลงพระราชาในนิทาน ชมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=Yrwk3qFgzD4

ขับร้องโดย : นักเรียนจากโรงเรียนสุขฤทัย และสมาคมเครือข่ายผู้ปกครอง โรงเรียนดรุณสิกขาลัย โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางเขน โรงเรียนบ้านบัวมล โรงเรียนบางกอกพัฒนา บ้านเรียนแห่งรักและศานติ อารยตาราภาวนาวิชาชาลัย โรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์ และประชาชนจิตอาสา