'แซดทีอี' ชูนวัตกรรมดิจิทัลรุกไทย
ชี้ศักยภาพเด่นดันรายได้โต 50% โฟกัสต่อกลุ่มคอนซูเมอร์ ดีไวซ์- พาร์ทเนอร์เทเลคอม -รัฐบาลไทยผ่านโครงการดิจิทัล
แซดทีอี เชื่อ “ไทย” ตลาดศักยภาพสูง ดันรายได้เติบโตโดดเด่นเทียบทั่วโลก เดินหน้าลงทุนต่อ ชูกลยุทธ์เอ็ม-ไอซีที (M-ICT) เทคโนฯ สื่อสารเคลื่อนที่บุกเอเชีย รวมไทย อิงเทคโนฯใหม่ วีอาร์-คลาวด์-ไอโออี เชื่อพลิกโฉมธุรกิจอีก 5 ปีข้างหน้า หวังรายได้ปี 2560 พุ่ง 50%
นายหวัง เฮลิน กรรมการผู้จัดการ แซดทีอี ประเทศไทย กล่าวภายในงาน ZTE Towards 2020 Summit ว่า ไทยยังเป็นตลาดที่แซดทีอีให้ความสำคัญมาก เป็นตลาดที่มีศักยภาพโดดเด่น ทำรายได้เติบโตเหนือกว่าตลาดทั่วโลกที่แซดทีอีทำตลาด
โดยเฉพาะการที่รัฐบาลไทยกำหนดยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ดิจิทัล หรือต้องการก้าวไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 นับเป็นโอกาสที่ดีของแซดทีอีในการนำเสนอโซลูชั่นด้านดิจิทัล รวมถึงดีไวซ์ต่างๆ โดยเฉพาะโครงการสมาร์ทซิตี้
ขณะที่ผู้ให้บริการโทรคมในไทย เอไอเอส ดีแทค ทรู ทีโอที แคท 3บีบีล้วนเป็นพาร์ทเนอร์ของแซดทีอี ได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เน็ตเวิร์คโดยเฉพาะ 3จี 4จี อินเทอร์เน็ตผ่านไฟเบอร์ออพติก เพื่อตอบสนองความตัองการผู้บริโภคและภาคธุรกิจต่างๆ
ท่ามกลางเทรนด์เทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างมากภายในปี 2563 (2020) ที่คาดว่า จะมีผู้คน ดีไวซ์เชื่อมต่อเข้าหากันไม่ต่ำกว่า 1.5 หมื่นล้านชิ้น และใช้งาน 5จี อย่างแพร่หลายทั่วโลก
ดังนั้น เป็นที่มาของกลยุทธ์เทคโนโลยีสื่อสารเคลื่อนที่ หรือโมบาย ไอซีที (M-ICT) ที่มุ่งเน้นการเชื่อมต่อโครงข่ายเคลื่อนที่สำหรับทุกสิ่งและคาดว่าจะช่วยพลิกโฉมการดำเนินงานของแซดทีอีและขยายธุรกิจภายใน 5 ปีข้างหน้า
โดย 5 เสาหลักของกลยุทธ์เอ็ม-ไอซีที ประกอบด้วย สิ่งเสมือนจริง (Virtuality) ข้อมูลที่เปิดกว้าง (Openness) การเลือกสรรอย่างชาญฉลาด (Intelligence) เข้าถึงข้อมูลง่ายขึ้น (Cloudification) และอินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of Everything) โดยเป็นกลยุทธ์ที่แซดทีอีจะใช้ในภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งประเทศไทย
นายเฮลิน กล่าวว่า ที่ผ่านมาแซดทีอีได้ให้ความสำคัญการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา (อาร์แอนด์ดี) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงโซลูชั่น รองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น คิดเป็นสัดส่วนราว 15% ของรายได้ทั่วโลก ซึ่งไทยก็ได้รับประโยชน์จากการลงทุนนี้ด้วย จากดีไวซ์ใหม่ๆ โซลูชั่นด้านเน็ตเวิร์คต่างๆ ที่รอบรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้
สำหรับรายได้ทั่วโลกครึ่งแรกปี 2559 แซดทีอีมีกำไรเพิ่มขึ้นราว 9.33% หรือมากกว่า 9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 8.3 พันล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2558 จากยอดขายของอุปกรณ์เครือข่าย 4จีที่สูงมาก บริการด้านเทคโนโลยีสื่อสารจากภาครัฐที่เติบโต รวมถึงธุรกิจต่างๆ ทั่วโลก
ขณะที่คาดว่า ไตรมาส 3 ครึ่งปีหลังของปีนี้ กำไรจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 9.8 % โดยรายได้ทั่วโลกของแซดทีอีเติบโต 4.05% หรือ 2.465 แสนล้านบาท จาก 2.369 แสนล้านบาทเมื่อช่วงต้นปี 2559
“ส่วนรายได้ในตลาดไทย เติบโตต่อปีราว 50% มาจากส่วนบริการโครงสร้างพื้นฐานเน็ตเวิร์คต่างๆ และมือถือ ซึ่งเติบโตเหนือกว่า หลายๆ ประเทศทั่วโลกที่แซดทีอีทำตลาด ซึ่งปี 2560 ยังคาดหวังว่า รายได้จะโต 50% เช่นกัน”
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันภูมิภาคที่ทำรายได้ให้แซดทีอีสูงสุด ยังเป็นประเทศจีน ราว 53% ยุโรป/อเมริกา/โอเชียเนีย 25.2% เอเชีย (ไม่รวมจีน) 14.8% และแอฟริกา 7.0%
“จากนี้ แซดทีอียังคงเน้นการทำงานร่วมกับภาครัฐ โอเปอเรเตอร์ องค์กรธุรกิจ รวมถึงคอนซูเมอร์ นำเสนอโซลูชั่นด้านดิจิทัล รวมถึงดีไวซ์ที่ชาญฉลาดสู่ผู้บริโภคไทยอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าในปี 2563 (2020) รายได้แซดทีอีทั่วโลกจะโต 2 เท่าตัว”
ชู “5จี” เปลี่ยนโลก
ขณะที่ ภายในงานสัมมนา แซดทีอีได้จัดแสดง โซลูชั่นยุคก่อน 5จี (Pre-5G) เช่น Massive Memo โดยอัตราสูงสุดที่ใช้ในการส่งข้อมูลแบบคลื่นเดียวของเทคโนโลยี Pre-5G Massive MIMO สูงกว่า 400 เมกะบิตต่อวินาที
ดังนั้นจึงช่วยเพิ่มความมีประสิทธิภาพของช่วงคลื่นได้มากกว่า 4 ถึง 6 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับเครือข่าย 4จีที่มีในปัจจุบัน เทคโนโลยี Pre-5G Massive MIMO สามารถเชื่อมต่อเข้ากับเครื่องปลายทางบนระบบ 4จีที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่ เทคโนโลยีนี้จึงทำให้ผู้ใช้ได้เพลินเพลินไปกับบรอดแบรนด์ความเร็วสูงได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องปลายทาง
ขณะที่ คาดการณ์ว่าจำนวนของการเชื่อมต่อไอโอทีระดับโลกจะมีมากถึง 5 หมื่นล้านในปี 2563 การเชื่อมต่อกันในทุกสิ่ง โดยแซดทีอีวางแผนที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการโทรคมนาคมสามารถส่งมอบเซลลูลาร์ไอโอที ที่แพร่หลายอย่างครอบคลุมภายในปี 2563 ซึ่งจะช่วยขยายความเป็นไปได้ของอุตสาหกรรมการสื่อสาร