Daily Market Outlook (30 พ.ย.59)

Daily Market Outlook (30 พ.ย.59)

พระบรมฯ จะเสด็จขึ้นครองราชย์

คาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นวันนี้ จากตัวเลข GDP สหรัฐที่ดีกว่าคาด และนโยบายขยายตัวทางเศรษฐกิจของ Trump ที่ทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจโลกดีขึ้นซึ่งเป็นบวกต่อบรรดาสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง อย่างไรก็ตามการปรับตัวขึ้นของตลาดน่าจะถูกจำกัดโดย ความกังวลต่อการไหลออกของเงินทุนจากการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ และราคาน้ำมันที่ร่วงลงหลังตลาดไม่แน่ใจว่า OPEC จะบรรลุข้อตกลงลดกำลังการผลิตการประชุมวันนี้ได้ ภายในประเทศรัฐสภาจะกราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทำให้ความกังวลของประชาชนลดลง ครม.อนุมัติมาตรการหักภาษี ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวในประเทศได้ 30,000 บาท ถือว่ากระตุ้นทั้งการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายอุปโภคบริโภค

หุ้นเด่นวันนี้: SPCG (ราคาปิด 21.30 บาท; NR; ราคาเป้าหมาย Bloomberg 24.33 บาท)

เราเลือกบมจ.เอสพีซีจี เป็นหุ้นเด่นในวันนี้ซึ่งประกอบธุรกิจลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 36 โครงการในประเทศ โดยปัจจุบันผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้วทั้งหมดด้วยกำลังการผลิตรวม 260 เมกะวัตต์ และให้กระแสเงินสดรับที่สม่ำเสมอภายใต้ความเสี่ยงที่ต่ำ ซึ่งเรามองว่าเหมาะกับภาวะความไม่แน่นอนของตลาดในขณะนี้ด้วยค่า Beta ที่เพียง 0.8 เท่า และยังให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงถึง 6-7% ต่อปี นอกเหนือไปจากโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศที่ดำเนินการอยู่ปัจจุบันแล้ว SPCG ยังได้แสวงหาโอกาสการเติบโตเพิ่มเติมจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่ๆ โดยในปัจจุบันได้ร่วมมือกับ Kyocera ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจสัญชาติญี่ปุ่น เพื่อร่วมลงทุนและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 30 เมกะวัตต์ในญี่ปุ่น ที่จะสามารถผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ในช่วง 1Q60 ตามแผน นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเปิดเผยอีกว่าอยู่ในระหว่างเจรจาการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในฟิลิปปินส์ ด้วยขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เป็นไปได้ถึง 200 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดจะได้ข้อสรุปในรายละเอียดภายในปีหน้า ทิศทางกำไรสุทธิยังเห็นการเติบโตได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้าด้วยอัตราการเติบโตในปีนี้ที่ระดับ 7% YoYก่อนจะเร่งตัวในปีหน้าอยู่ที่ 13% และต่อเนื่องในปี 2018 ที่ 5% (อ้างอิง Bloomberg consensus) คิดเป็น CAGR ที่ระดับ 9% ทั้งนี้โครงการลงทุนใหม่ๆ ในอนาคตอันใกล้นี้ถือเป็น Upside ต่อประมาณการข้างต้นที่ยังไม่รวมเข้าไป เรามองราคาหุ้นปัจจุบันมีความน่าสนใจเนื่องซื้อขายกันที่ระดับ PER ปีหน้าที่เพียง 7.4 เท่า สะท้อนเป็นค่า PEG ที่ยังต่ำกว่า 1.0 ภายใต้ความเสี่ยงที่ต่ำของกระแสเงินสดรับ ประกอบกับค่า ROE ที่สูงในระดับ 20% และมุมมองการเติบโตของกำไรสุทธิดังกล่าวจากโครงการใหม่ๆ ในส่วนของ Price Pattern ของ SPCG มีความแข็งแกร่งทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง จากการเกิดทั้ง Daily & Weekly Buy Signal โดยรอเพียงการกลับมาเกิด Monthly Buy Signal ครั้งใหม่เท่านั้น โดยหาก Price Pattern ของ SPCG สามารถปิดตลาดรายเดือน (วันนี้หรืออาจเป็นเดือนหน้า) เหนือ 22.20 บาท ก็ได้ทำให้กลับมาเกิด Monthly Buy Signal ครั้งใหม่ ซึ่งจะส่งผลทำให้แนวโน้มหลักของ SPCG เปลี่ยนจากแนวโน้มขาลงไปสู่แนวโน้มขาขึ้นทันที ทั้งนี้เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ SPCG มีเป้าหมายเบื้องต้นอยู่ที่ 24.10 บาท โดยมีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 20.40 บาท (แนวต้าน: 21.40, 21.60, 21.80; แนวรับ 21.10, 20.90, 20.70)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• อัญเชิญองค์รัชทายาทขึ้นเป็นกษัตริย์ ครม.จะอัญเชิญสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์หลังจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชสวรรคตเมื่อเดือนที่แล้ว ในขั้นตอนต่อไป พระบรมโอรสาธิราชฯ จะตอบตกลงตามที่ ครม. ได้กราบบังคมทูลอัญเชิญเพื่อเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่ (Reuters)

• ลดหย่อนภาษีการท่องเที่ยวภายในประเทศเพิ่มเติม: ที่ประชุม ครม.อนุมัติเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ถึงมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวรวมทั้งการลดหย่อนภาษี 15,000 บาท สำหรับแพคเกจทัวร์ในประเทศและโรงแรมที่พักในช่วงเวลาตั้งแต่ 1 ธ.ค.-31ธ.ค.59 และคาดว่าจะส่งผล (Multiplier Effect )ต่อเศรษฐกิจไทยมูลค่าถึง1 พันล้านบาท (Bangkok Post) ความเห็น: รัฐได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมผ่านการลดหย่อนภาษีการท่องเที่ยวในปี 2559 ออกมารวมแล้วไม่เกิน 30,000 บาทต่อคน เพราะในเดือนเม.ย.ปีนี้ครม.ได้อนุมัติมาตรการกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่รวมการลดหย่อนภาษี 15,000 บาทแพคเกจทัวร์ในประเทศและโรงแรมที่พักสำหรับผู้เสียภาษีของแต่ละบุคคลไปแล้ว และมาออกเพิ่มในช่วงเดือน ธ.ค.อีกครั้งมาตรการนี้จะเป็นประโยชน์ต่อหุ้นเกี่ยวกับการท่องเที่ยวไทย ได้แก่ AOT, CENTEL, ERW และ MINT

• เปิดลงทะเบียนสวัสดิการสังคมรอบใหม่ผ่าน e-payment ก.คลังมีแผนจะเปิดลงทะเบียนสวัสดิการสังคมรอบใหม่ผ่าน e-payment ก่อนที่มาตรการค่าโดยสารฟรีสำหรับขนส่งมวลชนจะสิ้นอายุใน เม.ย.ปีหน้า ความเคลื่อนไหวนี้เป็นไปเพื่อช่วยกลุ่มเป้าหมายหรือผู้มีรายได้น้อยกว่า 1 แสนบาทต่อปี แทนที่จะช่วยเหลือโดยไม่เจาะจง (Bangkok Post)

• นายกฯ ดันแผนกลยุทธ์แห่งชาติ 20ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปีหน้า แผนกลยุทธ์ 20 ปีครอบคลุม หกกลยุทธ์ย่อย ตั้งแต่ความมั่นคง ความสามารถในการแข่งขันด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ความเท่าเทียมกันทางสังคม คุณภาพชีวิตที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาระบบรัฐ อย่างไรก็ดี นายกฯ ไม่ได้เผยเรื่องโรดแมพประชาธิปไตย (The Nation)

• BIGC (Bt204.00) บิ๊กซีเปิดแผนขยายธุรกิจปลีก 10,000 ล้านบาท: บมจ.เบอร์ลี่ยุคเกอร์ (BJC) เจ้าของบิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ มีแผนจัดสรรเงินลงทุน10,000 ล้านบาทเพื่อขยายบิ๋กซีไฮเปอร์มาร์เก็ตโดยการเปิดสาขาใหม่213 แห่งและปรับปรุงสาขาที่มีอยู่ 54 แห่งในปี 2560 (Bangkok Post)

• AOT (Bt389.00; HOLD; AWS 17TP Bt440.00) AOT ประกาศผลการดำเนินงานFY2559 (1 ต.ค.58 ถึง 30 ก.ย.59) และประกาศจ่ายเงินปันผลและการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้: AOT รายงานกำไรสุทธิ FY2559 ที่ 19,571 ล้านบาทหรือ EPS ที่13.70 บาท/หุ้นและประกาศจ่ายเงินปันผล6.83 บาท/หุ้น (XD วันที่ 8 ธันวาคม 2559) และการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้จาก 10 บาท/หุ้นเป็น 1 บาท/หุ้น (SET) ความเห็น: กำไรสุทธิของ AOT ประกาศออกมาใกล้เคียงกับที่เราคาดการณ์ และเรายังคงประมาณการกำไรต่อหุ้นในปี 2560 ไว้ที่15.29 บาท/หุ้นเพิ่มขึ้น 11.6%YoY เรายังคงแนะนำถือต่อไปราคาเป้าหมายของปี2559 อยู่ที่ 440 บาท

ต่างประเทศ:

• เหตุการณ์/ข้อมูลสำคัญที่ยังเหลืออยู่ในสัปดาห์นี้ คือการลงประชามติเกี่ยวกับการปฏิรูปรัฐธรรมนูญของอิตาลีในวันอาทิตย์นี้ ผลการประชุมโอเปกในวันพุธและตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์นี้ ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์จัดทำโดยรอยเตอร์สระบุว่านักวิเคราะห์คาดว่าจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 175,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. (Reuters) 

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐขยับขึ้นเมื่อวันอังคาร หลังจากตัวเลข GDP สหรัฐสูงกว่าตัวเลขประมาณการ โดยมีแรงหนุนจากการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราเร็วขึ้นในปีหน้า ราคาพันธบัตรอายุ 10 ปี ล่าสุดปรับตัวลง 4/32 อัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 2.3358% จากที่ระดับ 2.320% เมื่อวันจันทร์ (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อวันอังคาร เทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ก่อนหน้านี้ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นเกือบแตะระดับสูงสุดในรอบ 14 ปีที่ 102.05 เมื่อวันพฤหัสก่อนเกิดแรงเทขายทำกำไรและราคาน้ำมันที่ผันผวนทำให้ดอลลาร์สหรัฐกลับมาสู่ระดับปกติ (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกเมื่อวันอังคาร จากข้อมูลการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งและหุ้นกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพที่ปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดฯ ปรับตัวขึ้นได้จำกัดจากราคาน้ำมันที่ร่วงลงจากความไม่แน่ใจว่าโอเปกจะสามารถบรรลุข้อตกลงในการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันและมีความกังวลในการประเมินมูลค่าหุ้น ข้อมูลจากทอมสัน รอยเตอร์ส ระบุว่าค่าพีอีล่วงหน้าของดัชนี S&P500 ตอนนี้อยู่ที่ 17.2 เท่า เทียบกับค่าพีอีเฉลี่ยระยะยาวที่ 15 เท่า (Reuters)

• การขยายตัวของ GDP สหรัฐประจำไตรมาส 3/59 อยู่ที่ระดับ 3.2% ต่อปี สูงกว่าตัวเลขก่อนหน้านี้ที่ 2.9% จากการเปิดเผยของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐซึ่งตัวเลข GDP ครั้งล่าสุดเป็นตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 การขยายตัวดังกล่าวเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3/57 ตามด้วยอัตราการขยายตัวที่ลดลงในไตรมาส 2/59 ที่ 1.4% ต่อปี (Reuters)

• Fed Fund Futures บ่งบอกถึงเทรดเดอร์มองว่ามีโอกาสถึง 98% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมระหว่างวันที่ 13-14 ธ.ค. หลังการประกาศตัวเลข GDP สหรัฐประจำไตรมาส 3/59 เทียบกับเมื่อวันจันทร์ซึ่งมีการคาดการณ์ว่ามีโอกาส 94% จากรายงานของ CME Group’s FedWatch (Reuters)

ยุโรป:

• ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเล็กน้อยเมื่อวันอังคาร จากหุ้นกลุ่มธนาคารอิตาลีที่ดีดตัวขึ้นหลังมีรายงานว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) พร้อมจะเข้าซื้อพันธบัตรอิตาลีมากขึ้นหากการลงประชามติเกี่ยวกับการปฏิรูปรัฐธรรมนูญของนาย Matteo Renziนายกรัฐมนตรีอิตาลีในวันอาทิตย์นี้เขย่าตลาด และมีรายงานการเข้าซื้อกิจการที่มีความคืบหน้ามากขึ้นส่งผลให้หุ้น Actelionบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพสัญชาติสวิสปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ (Reuters)

เอเชีย:

• ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 0.1% MoMในเดือนตุลาคมข้อมูลเบื้องต้นจากกระทรวงเศรษฐกิจพาณิชย์และอุตสาหกรรมแสดงให้เห็นในวันพุธถึงสัญญาณการฟื้นตัวของกิจกรรมการผลิตในโรงงาน ผลที่ได้สอดคล้องกับค่าเฉลี่ยการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น 0.1% หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนกันยายน โดยผลสำรวจของMETI คาดว่าการส่งออกจะเพิ่มขึ้น 4.5% ในเดือนพฤศจิกายนและลดลง 0.6% ในเดือนธันวาคม (Reuters)

• PBOC ปฏิเสธรายงานของสื่อที่กล่าวว่าได้บอกกับธนาคารบางแห่งในเมืองที่มีตลาดอสังหาริมทรัพย์ร้อนแรงเกินไป จนอาจทำให้ต้องหยุดการออกสินเชื่อบ้านใหม่ วงเงินให้สินเชื่อใหม่แก่ครัวเรือนลดลงไป 433.1 พันล้านหยวนในเดือนตุลาคมจาก 637 พันล้านหยวนในเดือนกันยายนข้อมูลแสดงให้เห็นว่าความต้องการจดจำนองบ้านลดลงจากการที่รัฐบาลท้องถิ่นจำกัดการซื้อบ้าน เพื่อให้ราคาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอ่อนลง (Reuters)

• ประเทศจีนได้สั่งห้ามการจัดส่งสัตว์ปีกจากประเทศที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดนกทั่วโลก คาดว่าจะนำไปสู่การขาดแคลนครั้งแรกในเนื้อไก่ เป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งทศวรรษ (Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• น้ำมันดิบร่วง 4% วันอังคารเพราะผู้ส่งออกน้ำมัน OPEC จะขัดแย้งกันเรื่องลดกำลังการผลิตเพื่อลดอุปทานล้นเกินและดันราคา โดยอิหร่านและอิรักยังไม่ลงรอยกับซาอุฯ ก่อนหน้าวันประชุม น้ำมันดิบ Brent ล่วงหน้าลบ 1.86 ดอลลาร์สหรัฐหรือ 3.9% ปิด 46.38 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบสหรัฐลบ 1.85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (-3.9%) อยู่ที่ 45.23 ดอลลาร์สหรัฐ Brent บวกเป็นร้อยละมากสุดตั้งแต่ ก.ย. (Reuters)

• ราคาทองคำร่วงลงวันอังคาร เนื่องจากการคาดการณ์ว่าสหรัฐจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยและความเชื่อมั่นที่ปรับตัวดีขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจโลก นั่นหมายความว่านักลงทุนจะชอบการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากกว่าในช่วงเวลานี้ อย่างเช่นการลงทุนในหุ้น โดยราคาทองคำตลาดจรลดลง 0.4% อยู่ที่ 1,188.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดในช่วงระหว่างวันที่ 1,180.85 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ทองคำสหรัฐล่วงหน้าลดลง 0.2% อยู่ที่ 1,187.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (Reuters)

• สังกะสีและตะกั่วร่วงกว่า 6% วันอังคารจากจุดสูงสุดในรอบหลายปีเมื่อวานนี้ เพราะราคาน้ำมันร่วงลงและมีการรับรู้ว่าราคาที่วิ่งหลังจากการเลือกตั้งสหรัฐนั้นมากเกินไปทำให้เกิดแรงขาย ราคาตะกั่วอ้างอิงตลาด LME ร่วง 6.7% ปิด 2,354 ดอลลาร์ต่อตัน ร่วงรายวันมากสุดในรอบ 5 ปี สังกะสีร่วง 6.6% สู่ 2,710 ดอลลาร์สหรัฐร่วงมากสุดในรอบนับแต่ พ.ย. 53 (Reuters)