Mercedes me BAR บาร์ช็อกโกแลต

Mercedes me BAR บาร์ช็อกโกแลต

บาร์ช็อกโกแลตที่รวบรวมช็อกโกแลตคุณภาพดีจากทั่วโลกไว้มากกว่า 50 แบรนด์ โดย พิริยรัชต์ จิรสินกิตติ

ใจกลางกรุงเทพฯ มีร้านป๊อพอัพสโตร์อินเทรนด์ที่คนรักช็อกโกแลตกำลังพูดถึงและแชร์กันตามโซเชียลมีเดีย นั่นก็คือ Mercedes me BAR เป็นร้านที่รวบรวม ‘ช็อกโกแลต’ จากทั่วโลกไว้มากกว่า 50 ยี่ห้อ มาทำเป็นเครื่องดื่มและขนมหวานชวนชิมหลายเมนู

ผู้อยู่เบื้องหลังการรวบรวมช็อกโกแลตและสร้างสรรค์เมนูจากช็อกโกแลตคือผู้ชายคนนี้ พิริยรัชต์ จิรสินกิตติ เจ้าของร้านกาแฟชื่อ Amatissimo Caffe(อะมาทิสสิโม คาเฟ่) ย่านถนนศรีนครินทร์ หลังศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค กรุงเทพฯ ผู้จุดกระแสรสชาติ ‘ครัวซองต์’ ถึงขนาดมีผู้กล่าวว่าต้องไปชิมครัวซองต์ของ ‘อะมาทิสสิโม คาเฟ่’ ให้ได้สักครั้ง

“ผมจบมัธยมปลาย แล้วไปเรียนต่อด้านอาหารและขนม การโรงแรม ที่ออสเตรเลีย 4-5 ปี” คุณพิริยรัชต์ กล่าวแนะนำตัวเอง

“พอกลับมาเมืองไทย ก็รับงานอิสระเกี่ยวกับอาหาร ช่วยพี่พล(พล ตัณฑเสถียร) ทำรายการอาหาร ทำเมนูให้ร้านพี่พล ทำโปรเจคกับพี่พลที่เซ็นทรัลอีสต์วิลล์ ชื่อร้านคัฟเวอร์ทูคัฟเวอร์ (Cover II Cover Eat & Drink) ในพื้นที่ธิงค์สเปซ เปิดได้ประมาณสามเดือนแล้ว มีอาหาร เครื่องดื่มชากาแฟ รสชาติออริจินัลและเมล็ดกาแฟหายาก ขนม บรรยากาศแนวญี่ปุ่น โดยอาหารได้แรงบันดาลใจจากตำราทำอาหาร (cook book) เพื่อให้ดูว่าอาหารในคุกบุ๊คสามารถทำได้จริงและอร่อย”

คุณพิริยรัชต์บอกว่า ชื่อร้าน ‘อะมาทิสสิโม คาเฟ่’ เป็นภาษาอิตาเลียน มีความหมายว่า Beloved (ผู้เป็นที่รัก) เปิดมาได้ประมาณสี่ปีแล้ว

“ผมอยากเปิดร้านกาแฟที่ไม่ได้ใช้ชื่ออ้างอิง(refer)ถึงกาแฟเลย อยากได้ชื่อยาวๆ เน้นบริการกาแฟและขนมโฮมเมด เช่น ครัวซองต์ กลายเป็นการสร้างกระแสครัวซองต์โดยไม่รู้ตัว คือตอนนั้นผมคิดแค่อยากหาขนมที่ทานคู่กับกาแฟ ส่วนตัวไม่ชอบเค้กที่เป็นครีมๆ เมื่อก่อนไปที่ไหนก็มีแต่เค้ก สิ่งที่ไม่มีเลยคือพวกเพสตรี้ทานคู่กาแฟตอนเช้า และพวกนี้(เพสตรี้แบบครัวซองต์)ไม่ไปรบกวนรสชาติกาแฟ เราก็พยายามรังสรรค์เมนูทานคู่กาแฟ แล้วเข้ากัน เราจะรู้จักครัวซองต์ตามเบเกอรี่ แต่ก็เป็นอารมณ์ขนมปัง ครัวซองต์จะเหมือนขนมปัง แต่จริงๆ แล้วเท็กซ์เจอร์ครัวซองต์ต้องผิวบางๆ กรอบๆ มีความหอมของเนย”

สำหรับที่ Mercedes me BAR คุณพิริยรัชต์รับเป็น ช็อกโกลาเทียร์ (Chocolatier-ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับช็อกโกแลต) โครงการพิเศษของบริษัทรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย)

“ทีมงาน(เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย) เดินเข้ามาที่ร้าน แล้วบอกอยากให้เปิดช็อกโกแลตบาร์ เป็นคอนเซปต์ที่ผมมีในใจและอยากทำมานานอยู่แล้ว” คุณพิริยรัชต์ กล่าว

Mercedes me BAR เป็น ‘ช็อกโกแลต บาร์’ แห่งแรกของเมืองไทยที่รวบรวมช็อกโกแลตคุณภาพดีที่สุดจากทั่วโลกมาไว้ในที่เดียว เพื่อให้เหล่าช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ ได้มีความสุขกับรสชาติกับเมนูขนมและเครื่องดื่มอันกลมกล่อมของช็อกโกแลต

“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ดำเนินงานภายใต้แนวคิดที่จะไม่หยุดนิ่งในการนำเสนอ ‘สิ่งที่ดีที่สุด-The Best’ ให้กับลูกค้าทั้งในวันนี้และวันข้างหน้า ด้วยความมุ่งมั่นที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุด และเป็นศูนย์กลางสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในสิ่งที่ดีที่สุด ปีนี้บริษัทฯ จึงได้สร้างสรรค์ Mercedes me BAR ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคอนเซปต์ของเมอร์เซเดส มี สโตร์ (Mercedes me Store) จากทั่วโลก ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้เริ่มดำเนินการไปแล้วในหลายเมือง อาทิ มิลาน โตเกียว ฮ่องกง ปูซาน ฮัมบูร์ก และล่าสุดที่ประเทศไทยที่ Mercedes me BAR เข้ามาตั้งในโลเคชั่นใจกลางกรุงเทพมหานครเพื่อสะท้อนจิตวิญญาณของแบรนด์ในการนำเสนอนวัตกรรม และประสบการณ์รูปแบบใหม่ๆ อีกทั้งเพื่อมุ่งสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย ทั้งกลุ่มที่เป็นลูกค้าของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ และบุคคลทั่วไป ด้วยการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค นอกจากการสร้างปฏิสัมพันธ์ผ่านโชว์รูม และโซเชียลมีเดีย ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง” มร.ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหาร ฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงความเป็นมาว่า ‘รถยนต์’ กับ ‘ช็อกโกแลต บาร์’ เกี่ยวพันกันได้อย่างไร

คุณพิริยรัชต์บอกว่า เขาสร้างซิกเนเจอร์ให้กับช็อกโกแลต บาร์ แห่งนี้ ด้วยการใส่ความสนุก ความคลาสสิก ให้เข้ากับความเป็นเมอร์เซเดส-เบนซ์ แต่เป็นเมนูที่ลูกค้าจับต้องได้จริงๆ พร้อมความหลากหลายของราคาให้เลือก ตั้งแต่ราคาไม่สูงมากจนถึงราคาที่คิดว่าตรงนี้ดีที่สุดแล้วตัวยคุณภาพของช็อกโกแลตที่เลือกสรรมาจากทั่วโลก

ความโดดเด่นประการแรกของ Mercedes me BAR คือการเลือกใช้ช็อกโกแลตแบบ ซิงเกิล ออริจิน (Single Origin)

“ซิงเกิล ออริจิน ช็อกโกแลต คือช็อกโกแลตที่มาจากแหล่งที่ปลูกแหล่งเดียว ความเข้มข้นและรสชาติต่างกัน ขึ้นอยู่กับพื้นที่ปลูก กระบวนการผลิตและคาแร็คเตอร์ของโกโก้” คุณพิริยรัชต์ กล่าวพร้อมกับยกตัวอย่างพื้นที่ปลูกต้นโกโก้ในส่วนต่างๆ ของโลก เช่น ช็อกโกแลตที่ได้จากต้นโกโก้ที่ปลูกในประเทศ เวเนซุเอลา มีความเป็นไซตรัสขึ้นมาหน่อย มีกลิ่นผิวส้มอ่อนๆ บางแบรนด์มีความฝาดของแทนนินเล็กๆ, มาดากัสการ์ มีกลิ่นดอกกล้วยไม้, บราซิล แบรนด์ที่เลือกมาให้กลิ่นชาดำ ไม่ขมมาก ชิมแล้วให้อารมณ์ชามะนาว, เอกวาดอร์ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้

ซิงเกิล ออริจิน ช็อกโกแลต ใช้ทำเมนูเครื่องดื่มตั้งชื่อว่า ติ๊ค (Thick ราคาเริ่มต้น 180 บาท)

ช็อกโกแลตหลายเมนูสร้างสรรค์ขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทย เช่น ช็อกโกแลต โซดา (Chocolate Soda) เครื่องดื่มช็อกโกแลตเย็นที่มีความซ่า (sparkling) ให้ความสดชื่นของกลิ่นส้ม แต่ได้กลิ่นอายช็อกโกแลต ราคาเริ่มต้น 150 บาท “ผมว่าน่าจะเป็นที่แรกในเมืองไทยที่ขายอยู่ตอนนี้” คุณพิริยรัชต์ กล่าว

เช่นเดียวกับ ฮ็อต โฟรเซน ช็อกโกแลต (Hot Frozen Chocolate) ราคาเริ่มต้น 180 บาท อาจจะงงชื่อเมนูมีทั้งร้อนและเย็น เจ้าของสูตรอธิบายว่า

“เป็นเครื่องดื่มเย็นที่ใช้ลิควิดไนโตรเจนมาแช่แข็ง เหมือนเป็นเครื่องดื่มไอศกรีมปั่น ขั้นตอนการทำคือตัวช็อกโกแลตที่ทำละลายแล้วจะเดือดด้วยความเย็น มีควันเหมือนความร้อน แต่เป็นเครื่องดื่มเย็น สร้างความตื่นเต้น เราผสมตัวช็อกโกแลตหลักเอาไว้ 3 ตัวด้วยกัน มีทั้ง ไวท์ช็อกโกแลต ดาร์คช็อกโกแลต และดูลเซ เดอ ลาเช (Dulce de Lache) ให้เลือก”

ดูลเซ เดอ ลาเช คือกรรมวิธีนำ ‘ไวท์ ช็อกโกแลต’ ไปตุ๋นให้กลายเป็นคาราเมล (caramel) เป็นวิธีเดียวกันกับที่ชาวเม็กซิกันนำ ‘นมข้น’ ไปตุ๋นทั้งกระป๋อง เพื่อทำขนมชื่อ บานอฟฟี่พาย (Banoffee pie)

“หลายปีก่อนหน้านี้ เมืองนอกมีเทรนด์ที่เชฟเอาไวท์ช็อกโกแลตมาทำคาราเมล เพื่อเพิ่มรสชาติให้มากขึ้น และสร้างความแตกต่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ควบคุมไม่ได้ คือคุณภาพ เพราะอุณหภูมิความร้อนและกระบวนการทำ จึงมีแบรนด์ที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาให้คงที่และใช้งานได้ง่ายขึ้น” คุณพิริยรัชต์ กล่าว

เครื่องดื่มเย็นคลาสสิกหรือ ‘ช็อกโกแลตเย็น’ ที่นี่ตั้งชื่อว่า คลาสสิก ไอซ์ (Classic Iced ราคาเริ่มต้น 145 บาท) มีให้เลือกระหว่างช็อกโกแลตที่มีส่วนผสมของเมล็ดโกโก้อย่างน้อย 35% เป็นมิลค์ช็อกโกแลต กับช็อกโกแลตที่มีส่วนผสมของเมล็ดโกโก้อย่างน้อย 65% เป็นดาร์คช็อกโกแลต อาจดูธรรมดา แต่เจ้าของสูตรยืนยันว่า “อร่อย”

เมนูช็อกโกแลตซิกเนเจอร์ประเภทร้อนอีก 3 ตัวหลัก ตั้งชื่อเหมือนกาแฟ เพราะถอดเอกลักษณ์กันมา ได้แก่ คาปูชิโน่ (Cappuccino เริ่มต้น 180 บาท) เป็นเครื่องดื่มช็อกโกแลต แต่ทำเลียนแบบกาแฟคาปูชิโน คือให้มีฟองนมหนาขึ้น มีความนุ่มละมุน, ม็อคค่า (Mocha เริ่มต้น 165 บาท) มีให้เลือกทั้งดาร์คช็อกโกแลต และไวท์ช็อกโกแลต จุดที่ทำให้ดูน่าสนใจ คือ ‘ท็อปปิงช็อกโกแลต’ ที่โรยอยู่บนผิวหน้าเครื่องดื่ม ใช้วิธีการขูดช็อกโกแลตสดๆ กันเลยทีเดียว เพิ่มรสชาติให้เข้มข้นขึ้นอีก และ ไวท์ ช็อกโกแลต ลาเต้ (White Chocolate Latte) รสชาตินุ่มละมุน ไม่หนักมาก ความเก๋คือการจุ่มขอบแก้วในตัวช็อกโกแลต(ตามชนิดที่ลูกค้าสั่ง) เวลาดื่มค่อยๆ หมุนแก้วเป็น Licking Menu ได้ความเข้มข้นของช็อกโกแลตตั้งแต่คำแรก และยังผสมช็อกโกแลตเข้าไปในตัวนมด้วย แต่ไม่เข้มเท่าคาปูชิโน

อีกหนึ่งเมนูที่สร้างสรรค์มาให้คนรักช็อกโกแลตมีโอกาสชิมช็อกโกแลตหลายๆ แบบ คือเมนูชื่อ อินฟิวซ์ (Infuese ราคาเริ่มต้น 145 บาท) คุณพิริยรัชต์นำช็อกโกแลตไปทำให้เกิดกลิ่นหอมที่ต้องการ เช่น กลิ่นส้ม เอิร์ลเกรย์ พริก (มีความเผ็ดนิดๆ ไม่เน้นเผ็ด แต่เน้นให้ความอุ่น-ซ่าเล็กน้อย เข้ากันกับช็อกโกแลตอย่างแปลกๆ) ผสมกับนมร้อน เสิร์ฟพร้อมมาร์ชเมลโล เมนูนี้เน้นให้ตัว ‘อินฟิวซ์’ เด่นกว่าช็อกโกแลต สำหรับคนไม่อยากดื่มช็อกโกแลตหนักมาก และอยากได้กลิ่นอย่างอื่นเข้ามาแทนที่

เมนูขนม วอฟเฟิล (Waffle ราคาเริ่มต้น 150 บาท) อบสดใหม่ เข้ากันได้ดีกับตัวช็อกโกแลต เสิร์ฟกับผลไม้ ไอศกรีม(วานิลลาหรือราสพ์เบอร์รีซอเบต์) วิปครีม เป็นวอฟเฟิลอเมริกันสไตล์ คือ ผิวนอกกรอบ เนื้อเบาไม่แน่น, ฟองดู (Fondue ราคา 250 บาท) เสิร์ฟกับผลไม้รวม เช่น กล้วย กีวี สตรอว์เบอร์รี และมาร์ชเมลโลกับครัวซองต์กรอบ แผ่นโคโค่นิปผสมเฮเซลนัทและโกโก้ โดยเลือกช็อกโกแลตได้ 3 แบบ, ทรัฟเฟิล (Truffle, 70 กรัม 160 บาท) ใช้ซิงเกิล ออริจิน ช็อกโกแลต ผสมกับส่วนผสมที่เป็นสูตรเฉพาะ แล้วปั้นเป็นก้อน มีความนุ่ม-แน่น คลาสสิกแบบช็อกโกแลตทรัฟเฟิล ไปชิม ‘ทรัฟเฟิล’ วันนี้ก็อาจได้รสชาติแตกต่างกับวันข้างหน้า เพราะคุณพิริยรัชต์จะใช้ ซิงเกิล ออริจิน ช็อกโกแลต จากหลากหลายแหล่งที่มาเป็นวัตถุดิบหลักสับเปลี่ยนกันไป

เมนูที่แจ้งว่า ‘ราคาเริ่มต้น’ เป็นเพราะลูกค้าสามารถเลือกช็อกโกแลตที่มีความเข้มข้นที่แตกต่างกันให้เลือกมากกว่า 50 ตัวเลือก คือสามารถออกแบบเมนูได้เองว่าต้องการการชิมช็อกโกแลตยี่ห้อใด ระดับความเข้มข้นแค่ไหน โดยแจ้งเบอร์กล่องที่ช็อกโกแลตวางอยู่ หรือสอบถามพนักงานก็สามารถให้คำแนะนำได้

ผู้เชี่ยวชาญช็อกโกแลตแนะนำว่า นี่เป็นโอกาสดีที่คนสนใจช็อกโกแลตจะได้ชิมรสชาติ ซิงเกิล ออริจิน ช็อกโกแลต จากทั่วโลก จากนั้นหากต้องการออกแบบเมนูเอง ควรเลือกช็อกโกแลตไม่เกิน 3 ตัว ไม่เช่นนั้นกลิ่นหอมและรสชาติเฉพาะของช็อกโกแลตแต่ละตัวจะตีกันสับสน

“เมนูทุกตัวเป็นเมนูที่ลูกค้ารับประทานได้ง่ายที่สุดแล้ว แต่กว่าจะออกมาเป็นเมนูทุกตัว ผมคิดแล้วคิดอีก” คุณพิริยรัชต์ กล่าวและว่า

“ผมเชื่อว่าในเมืองไทยมีกลุ่มคนรักช็อกโกแลต แต่อาจเข้าถึงได้ยาก เนื่องจากวัตถุดิบ ด้วยตัวราคาที่สูง แต่ส่วนตัวผมชอบคิดชอบทำอะไรที่ไม่ตามกระแสตลาด ผมชอบทำอะไรที่ผมชอบกินมากกว่า ถ้าทำตามเทรนด์คนอื่น เราไม่สามารถทำให้ดีเท่าเขาได้ หรือถ้ามาเป็นกระแสจริงๆ มันมาแล้วเดี๋ยวก็ไป”
------------------------
Mercedes me BAR ตั้งอยู่ที่บริเวณชั้น G สยามดิสคัฟเวอรี่ เปิดบริการทุกวัน เวลา 10.00-22.00 น. ตั้งแต่วันนี้-31 มกราคม พ.ศ.2560

------------------------

ภาพ : เอกรัตน์ ศักดิ์เพชร