ญี่ปุ่นยึดไทยฐานผลิตขนมป้อนอาเซียน

ญี่ปุ่นยึดไทยฐานผลิตขนมป้อนอาเซียน

"เจโทร" เผยนักลงทุนแดนปลาดิบส่งสัญญาณใช้ไทยฮับผลิตขนมญี่ปุ่น ป้อนตลาดอาเซียน พบความต้องการตลาดมาแรงหวังดันขึ้นเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1

นายโอซา มุทากิ ผู้อำนวยการแผนกสินค้าอาหารเกษตรป่าไม้และประมงองค์การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) เปิดเผยถึงมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและประมงญี่ปุ่นมายังไทยในช่วง 9 เดือนปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.) ว่ามูลค่าลดลง 11.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้มีปัจจัยกระทบจากภัยธรรมชาติ เช่นไต้ฝุ่น ทำให้ผลผลิตทางทะเลลดลง โดยเฉพาะหอยเชลล์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด จำเป็นต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี

ส่งผลให้เจโทรต้องมองโอกาสการผลักดันสินค้าประเภทอื่นๆ เข้ามาในไทย อาทิ ปลาบุริ (Buri) ที่สามารถเลี้ยงเองได้ และขนมญี่ปุ่นต่างๆ ปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมของตลาด

ยึดฐานลงทุนส่งเข้าอาเซียน

ปัจจุบันผู้ประกอบการผลิตขนมญี่ปุ่น ส่วนใหญ่เริ่มสนใจเข้ามาตั้งฐานโรงงานการผลิตในไทยมากขึ้น เนื่องจากเห็นแนวโน้มการเติบโตของสินค้าอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการตั้งโรงงานผลิตในไทยจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่ช่วยลดต้นทุนการผลิตได้

นอกจากนี้ ไทยถือเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคอาเซียน ดังนั้นการลงทุนจึงเป็นส่วนช่วยให้ธุรกิจสามารถกระจายตลาดไปยังอาเซียนได้ ซึ่งเจโทรเชื่อว่าสินค้าแปรรูปประเภทขนมคบเคี้ยวในอนาคต จะเป็นสินค้าส่งออกอันดับ1ของญี่ปุ่นมาไทย แทนที่สินค้าประมงอย่างปลาโอและปลาทูน่า ซึ่งปัจจุบันเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 โดยปี 2558 มูลค่าอยู่ที่ 1.15 หมื่นล้านบาท

ผู้ผลิตขนมญี่ปุ่นจ่อเข้าไทย

สินค้าที่เจโทรมองว่าจะเติบโตระยะยาวในไทย คือสินค้าแปรรูปประเภทขนมคบเคี้ยวต่างๆ เพราะคนไทยนิยมอย่างแพร่หลาย ขนมของญี่ปุ่นก็มีความหลากหลายเข้าได้ทุกกลุ่มลูกค้า ตอนนี้เริ่มเห็นนักลงทุนยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นเข้ามาในไทยแล้ว อย่าง กูลิโกะ ทำให้ผู้ผลิตรายอื่นๆ ก็สนใจ และอยู่ระหว่างเจรจากับคนไทย มีทั้งการเข้ามาทำตลาดรูปแบบพาร์ทเนอร์ร่วมทุนระหว่างไทย-ญี่ปุ่น

อีกส่วนคือบริษัทไทยที่มีเทคโนโลยีผลิตขนมคบเคี้ยว ก็อาจจะเป็นพาร์ทเนอร์นำเข้าวัตถุดิบจากญี่ปุ่นมาแปรรูป จึงทำให้เจโทรจัดงานเจรจาธุรกิจขึ้นในไทยเพื่อเปิดโอกาสให้คู่ค้าทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน

สำหรับเป้าหมายส่งออกของญี่ปุ่นในปีหน้า เชื่อว่าด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจโลกดีขึ้น ประกอบกับกระแสความนิยมอาหารญี่ปุ่นที่มีอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้มูลค่าส่งออกมาไทยกลับมาเป็นบวก รวมทั้งยังมองว่าตลาดอาเซียนจะเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่จะสร้างมูลค่าการส่งออกของญี่ปุ่นได้

คาดอีก4ปีส่งออกอาหาร3แสนล้าน

โดยเป้าหมายในปี 2563 คาดว่าญี่ปุ่นจะสามารถส่งออกสินค้าอาหารเกษตรป่าไม้และประมงได้ 3.2 แสนล้านบาท ในส่วนนี้เจโทรมั่นใจว่าตลาดอาเซียนจะมีมูลค่าส่งออกมากที่สุด เนื่องจากตลาดดังกล่าวมีศักยภาพสูง ในด้านของทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจ คาดว่ารายได้ของประชากรในอาเซียนจะสูงขึ้นและนิยมบริโภคอาหารญี่ปุ่นเพิ่ม

ด้านนายฮิโรคิ มิทสึมะตะ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) ประจำกรุงเทพฯ กล่าวว่า ปัจจุบันพบว่าคนไทยนิยมบริโภคอาหารญี่ปุ่นเป็นประจำ จึงทำให้มีปริมาณร้านอาหารเติบโตต่อเนื่อง และมีการแข่งขันสูงประกอบกับกลุ่มลูกค้าที่นิยมบริโภคอาหารญี่ปุ่น ส่วนใหญ่ยังเป็นตลาดระดับบน ซึ่งมีอย่างจำกัด

เน้นเจาะลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย

ดังนั้นแนวทางทำการตลาดที่เจโทรจะนำมาใช้ในปีหน้าคือ การเน้นหลักปรับปรุงผลิตภัณฑ์สินค้าต่างๆ ให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายตลาดระดับกลางที่มีสัดส่วนสูงในไทยเพื่อเป็นโอกาสในการขยายกลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้นอีก 2-3 เท่าตัว นอกจากนี้ ยังใช้ไทยเป็นฐานกำลังการผลิตสำคัญเพื่อกระจายสินค้าไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนด้วย

อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการกระตุ้นกลุ่มธุรกิจเจรจาการค้าการลงทุน เจโทรจึงจัดงานหารือผู้ประกอบการวานนี้ (24 พ.ย.) พบว่ามีผู้ประกอบการผู้ผลิตสินค้าจากญี่ปุ่นตอบรับเข้าร่วมถึง 43 ราย เป็นรายใหม่ๆ ถึง 32 ราย ขณะที่ผู้ซื้อฝ่ายไทยจำนวนที่เข้าร่วมงานราว 120 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีอยู่ 90 ราย

ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอกย้ำจุดขายด้านคุณภาพสินค้าและอาหารเจโทรยังเตรียมออกระบบการรับรองทักษะการปรุงอาหารญี่ปุ่นและระบบรับรองร้านค้าผู้สนับสนุนวัตถุดิบอาหารจากญี่ปุ่นเพื่อเป็นการการันตีคุณภาพอาหาร ถือเป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์ในการส่งเสริมการส่งออกสินค้าผ่านร้านอาหารญี่ปุ่นต่างๆทั้งในไทยและทั่วโลก

โดยเจโทรตั้งเป้านำร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยที่ปัจจุบันเปิดให้บริการอยู่ 2.7 พันแห่ง เข้าร่วมโครงการพร้อมจัดฝึกอบรมเชฟในร้านอาหารเพื่อให้ได้ใบรับรองประกอบอาหารอย่างมีคุณภาพ โครงการดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการภายในปีนี้ โดยเจโทรจะชี้แจงข้อมูลครั้งแรกในวันที่ 19 ธ.ค.นี้

กระแสบริโภคขนมญี่ปุ่นพุ่ง

นายคุนิโยชิ ยานากิซาวะ กรรมการผู้จัดการบริษัทมัตสึยะโชคูชิน จำกัด ผู้ประกอบการผลิตขนมโมจิโดริยากิ จากญี่ปุ่น กล่าวว่าบริษัทได้เข้ามาทำการตลาดในไทยแล้ว โดยนำผลิตภันฑ์ขนมโมจิโดริยากิ มาวางจำหน่ายผ่านห้างร้านต่างๆ ขณะนี้จึงอยู่ระหว่างกระจายฐานลูกค้าโดยมองว่า ไทยเป็นตลาดสำคัญที่บริษัทตั้งเป้าส่งออกไว้ เนื่องจากพบกระแสนิยมบริโภคขนมญี่ปุ่นของคนไทยยังมีต่อเนื่อง หากสินค้าของบริษัทได้รับความนิยมสูง ยังมองโอกาสการตั้งฐานการผลิตในไทย เพื่อลดต้นทุนสินค้าและใช้เป็นศูนย์กลางการส่งออกไปยังอาเซียน

ขณะเดียวกัน พบว่าบริษัทไซก้าฟู้ด จำกัด ผู้ผลิตลูกอมแปรรูปจากข้าว ยังเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เข้ามาทำตลาดในไทยเมื่อ 4-5 ปี ปัจจุบันจำหน่ายสินค้าในห้างซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ โดยมองว่าไทยเป็นตลาดสำคัญที่ยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมีพาร์ทเนอร์ไทยเป็นตัวแทนนำเข้าสินค้าแล้ว

หลังจากนี้ยังมองถึงโอกาสในการตั้งโรงงานผลิตในไทยอีกทั้งยังวางแผนกระจายตลาดส่งออกไปยังอาเซียนโดยปี 2560 จะเริ่มส่งออกสินค้าไปยังเวียดนาม